Mike Horn นักสำรวจโลกยุคใหม่ผู้พิชิตเส้นทางรอบโลกทั้งแนวดิ่งและแนวราบ

Mike Horn นักสำรวจผู้เดินทางมาแล้วรอบโลก เคยถูกถามว่าทำไมเขาไม่ยอมเดินทางด้วยการบินเลย แต่กลับเลือกใช้วิธีที่ยากลำบากกว่า ไม่ว่าจะเดินเท้า, ปั่นจักรยาน, ขับรถ, พายเรือ หรือแม้กระทั่งว่ายน้ำ ระยะทางไม่ใช่แค่หลักร้อย แต่รวมหลายพันไมล์ ที่สำคัญมันกินเวลาชีวิตยาวนาน และถึงที่หมายช้ากว่าเครื่องบินหลายเท่าตัว เขาตอบเพียงว่า

“ชีวิตจริงคือสิ่งที่คุณได้กลิ่น ได้ชิมรส อะไรที่คุณรู้สึกผ่านผิวหนังตัวเอง นั่นคือเมื่อประสาทสัมผัสมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ”

Mike Horn เกิดและเติบโตที่แอฟริกาใต้ ก่อนที่จะย้ายมาปักหลักอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ เขาเรียนด้าน Human Movement Science ที่ University of Stellenbosch ในประเทศแอฟริกาใต้ และทำงานในสายวิทยาศาสตร์การกีฬาให้กับทีมกีฬาหลายแห่งทั่วโลก ซึ่งสิ่งนี้เป็นตัวช่วยให้ชายวัย 52 ปี ผู้นี้ดูแลและฝึกฝนร่างกายอย่างมีวินัยให้พร้อมลุยอยู่เสมอ

จุดพลิกผันชีวิตของนักสำรวจโลกผู้นี้เริ่มต้นขึ้นราวช่วงปี ค.ศ.2001 หลังจากที่เขาพิชิตภาระกิจ Latitude Zero การเดินทางคนเดียวรอบโลกตามแนวเส้น Equator โดยไม่ใช่พาหนะที่มีเครื่องยนต์ได้สำเร็จ เขาก็เริ่มกลายเป็นที่รู้จักกระทั่งมีชื่อเสียงระดับโลกนับแต่นั้นมา และเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้เขาถูกเลือกให้เป็น Brand Ambassador ของ Mercedes-Benz ที่คอยสร้างแรงบันดาลใจในการสำรวจโลกหลากหลายรูปแบบเรื่อยมากว่า 17 ปีแล้ว

ภาระกิจของ Mike Horn ไม่เคยเหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ความท้าทายแปลกประหลาดสุดหินมากมายที่เขาตั้งขึ้นมาเพื่อพิชิต ทำให้เขาถูกยกย่องด้วยฉายา ‘นักสำรวจโลกผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกยุคใหม่’

จุดเริ่มต้นของการผจญภัยสุดบ้าบิ่น

การสำรวจโลกครั้งแรกของ Mike Horn เริ่มต้นเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ.1997 ในขณะที่เขามีอายุ 31 ปี เป้าหมายครั้งนี้ก็คือการพิชิตสายน้ำที่ยาวที่สุดในโลกอย่างแม่น้ำอเมซอน (Amazon River) ด้วยวิธีการใช้ Hydrospeed หรือการว่ายน้ำเกาะแผ่นบอร์ดจากต้นน้ำฝั่งเทือกเขาแอนดิส (Andes) ไปจนถึงปากแม่น้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกแบบโซโล่ (ยังไม่รวมการเดินเท้าจากชายฝั่งทะเลแปซิฟิก ต่อด้วยปีนขึ้นเขาแอนดิสในเปรูไปจนถึงต้นน้ำในครึ่งแรก) ระยะทางทั้งหมดกว่า 7,000 กิโลเมตร

เขาใช้เวลา 6 เดือนในการเอาตัวรอดจากผืนป่าที่เต็มไปด้วยความอันตรายจนจบภารกิจได้อย่างสวยงาม ความบ้าบิ่นครั้งนั้นทำให้เขาได้รับการบันทึกว่าเป็นมนุษย์คนแรกที่พิชิตแม่น้ำอเมซอนด้วยวิธีการว่ายน้ำได้สำเร็จ และนั่นยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชื่อของ Mike Horn เป็นที่จับตาทันที

ตามรอย ‘เส้นรุ้ง’ รอบโลก

การเดินทางรอบโลกเป็นสิ่งที่นักสำรวจใฝ่ฝันกันมาตั้งแต่อดีต หลังจากทริปสำรวจแม่น้ำอเมซอน เขาก็เริ่มออกเดินทางครั้งต่อไปในปี ค.ศ. 1999 โดยใช้ชื่อว่า Latitude Zero ซึ่งเป็นการเดินทางรอบโลกตามแนวเส้นละติจูด 0 องศา ที่ถือว่าเป็นเส้นรอบโลกแนวนอนที่ยาวที่สุด จุดเริ่มต้นนั้นอยู่ที่ท่าเรือในกาบอง ล่องไปตามมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อขึ้นฝั่งที่บราซิล ก่อนที่จะเดินเท้า ปั่นจักรยาน พายแคนู ข้ามทวีปอเมริกาใต้ไปยังเอกวาดอร์ ล่องเรือข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านเกาะกาลาปาโกสไปขึ้นฝั่งที่อินโดนีเซีย แล้วเดินเท้าต่อมาจนถึงฝั่งมหาสมุทรอินเดีย ต่อด้วยการล่องเรือต่อไปยังทวีปแอฟริกา ขึ้นฝั่งที่โซมาเลียแล้วเดินเท้าข้ามทวีปจนไปบรรจบจุดเริ่มต้นที่กาบองอีกครั้ง

Mike Horn ใช้เวลารวม 18 เดือนในการเดินทางรอบโลกครั้งนี้ เขาได้รับการบันทึกว่าเป็นมนุษย์คนแรกที่ล่องเรือแบบไม่ใช้เครื่องยนต์ฉายเดี่ยวรอบโลกตามแนวเส้นศูนย์สูตร และในปี ค.ศ.2001 เขาตีพิมพ์หนังสือเล่มแรกในชีวิตที่ชื่อว่า Latitude Zero ซึ่งขึ้นแท่น Best Seller ในทันที และนั่นก็ทำให้ชื่อของ Mike Horn กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างในฐานะนักสำรวจโลกผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกยุคปัจจุบัน

เสี่ยงตายผ่านขั้วโลก

ดูเหมือนการเผชิญกับอุณหภูมิติดลบแบบหนาวสุดขั้วจะเป็นหนึ่งในการเดินทางที่เขาชื่นชอบ เขาเดินทางเอาชนะข้อจำกัดของมนุษย์ในดินแดนแทบขั้วโลกถึงสามหนด้วยกัน ทริปแรกสุดคือ Arktos (การเดินทางลำดับที่ 3 ในชีวิต) เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี ค.ศ.2002 โดยเขาใช้เวลาทั้งสิ้น 27 เดือน (2 ปี 3 เดือน) ในการเดินทางรอบเส้น Arctic Circle วงแหวนอาร์กติกอันเป็นเส้นละติจูดหลักที่อยู่เหนือสุดบนแผนที่โลก

การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นที่ North Cape ในนอร์เวย์ ผ่านกรีนแลนด์ ต่อไปยังตอนเหนือของแคนาดา สู่อลาสก้า แล้วท่องบนผืนดินแดนขนาดใหญ่อันหนาวเหน็บที่อยู่ทางตอนเหนือของรัสเซีย ต่อด้วยเซอร์เบีย แล้วกลับมาบรรจบยังจุดเดิมที่ North Cape อีกครั้ง รวมระยะทางทั้งหมดกว่า 20,000 กิโลเมตร ที่สำคัญ Mike Horn เลือกเดินทางรอบเส้นวงแหวนนี้ด้วยยานพาหนะที่ไร้เครื่องยนต์ใดๆ เขาใช้เพียงกำลังกายและแรงใจในการพายเรือ, คายัค, สกี, เครื่องร่อน, และการเดินเท้า เพียงเท่านั้น เผชิญกับอุณหภูมิที่ต่ำสุดถึง -70 องศาเซลเซียส และผจญกับความทรมานจากฆาตรกรแห่งความหนาวอีกมากมาย

หลังจากพิชิตการเดินทางนี้สำเร็จ Mike Horn ก็ได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มที่สองของเขาในปี ค.ศ.2005 ที่ชื่อ Conquérant de l’impossible ก่อนที่จะถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ Conquering the Impossible เพื่อออกวางจำหน่ายในปี ค.ศ.2007 สิ่งที่ Mike Horn มักพูดถึงเสมอเมื่อพูดถึงทริปครั้งนี้ทีไร ไม่ใช่เรื่องการผจญภัย แต่เป็นเรื่องผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแถบนั้นต่างหาก ซึ่งเขายกย่องในความกล้า ยืนหยัดท้าชีวิต อยู่รอดได้ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ ที่ธรรมชาติสรรหามาคร่าชีวิต

จากขั้วโลกเหนือสู่ขั้วโลกใต้ และการพิชิตเส้นรอบโลกในแนวดิ่ง

จากเส้นรุ้งรอบโลกในแนวนอนที่ยาวที่สุด สู่การพิชิตเส้นแวงรอบโลกในแนวดิ่งที่ยาวที่สุดบ้าง การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นในปี ค.ศ.2016 ใช้ชื่อว่า Pole2Pole เส้นทางพิชิตสองขั้วโลก โดย Mike Horn เริ่มต้นเดินทางจาก Yacht Club de Monaco ในโมนาโก ล่องเรือและขับรถตะลุยจากทวีปแอฟริกาสู่ทวีปแอนตาร์กติกา พิชิตขั้วโลกใต้ แล้วต่อไปยังแถบทวีปโอเชียเนีย ขึ้นสู่ทวีปเอเชีย ต่อไปยังทวีปอาร์กติก พิชิตขั้วโลกเหนือ จากนั้นก็กลับมาสู่ทวีปยุโรป แล้วมาสิ้นสุดการเดินทางอีกครั้งที่ โมนาโกเช่นเดิม รวมระยะการเดินทางครั้งนี้กว่า 38,624 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ปี ซึ่งนี่ถือว่าเป็นการเดินทางที่ยาวไกลที่สุดของเขาเลยทีเดียว

หนึ่งเดียวในโลก

แน่นอนว่า Mike Horn ไม่ใช่คนแรกที่พิชิตขั้วโลกเหนือ แต่เขาสร้างการจดจำขึ้นมาด้วยประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่บันทึกไว้ว่าเขาเป็นมนุษย์กลุ่มแรก (เขาเดินทางร่วมกับ Borge Ousland นักสำรวจโลกชาวนอร์เวย์) ที่เดินทางพิชิตขั้วโลกเหนือในฤดูกาลไร้แสงโดยปราศจากสุนัขนำทางหรือยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ใดๆ (นึกสภาพการเดินเท้าในความมืดตลอด 24 ชม.) การพิชิตขั้วโลกเหนือในแบบฉบับของ Mike Horn อย่าง North Pole Winter Night เกิดขึ้นในปี ค.ศ.2006 เขาใช้เวลา 60 วัน ในการทำภารกิจครั้งนี้จนสำเร็จไปได้ด้วยดี

ถนนของนักสำรวจ

หนึ่งในโปรเจกต์ระดับโลกครั้งใหม่ที่น่าสนใจของ Mike Horn ก็คือ Driven to Explore การขับรถตะลุยสำรวจโลกในดินแดนต่างๆ ที่หลายคนมักไม่คุ้นเคย เขาต้องการที่จะขับรถท่องโลกเพื่อค้นหามุมมองใหม่ๆ ที่เรามักไม่เคยเห็น เขาเคยบอกว่าธรรมชาติบนโลกนี้มันน่ามหัศจรรย์ มีความสวยงามซ่อนเร้นอยู่อีกมากมาย และนั่นคือเป้าหมายในครั้งนี้ที่จะขับไปเพื่อค้นพบมัน

โปรเจกต์ Driven to Explore เป็นการจับมือร่วมกับ Mercedes-Benz ที่ให้การสนับสนุนเขาในฐานะเป็น Brand Ambassador ส่งต่อแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่มายาวนานกว่า 17 ปี โดยการตะลุยโลกคราวนี้จะใช้ Mercedes-Benz G-Class ขับไปยังดินแดนต่างๆ ทั่วโลก สำหรับการเดินทางทริปแรกเกิดขึ้นตอนปี ค.ศ.2015 ที่ผ่านมา เป็นการเดินทางออกจากบ้านเขาที่สวิตเซอร์แลนด์ ขับผ่าน 13 ประเทศ ไปจนถึงปากีสถานเพื่อที่จะปฎิบัติภาระกิจพิชิต K2 ยอดเขาสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ที่โหดและหินกว่าการพิชิตยอดเขาสูงที่สุดในโลกอย่าง Everest ด้วยเส้นทางที่ทรหดกว่า ความชันที่มากกว่า และสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมถึงข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ว่า ภูเขาลูกนี้จะคร่าชีวิต 1 ใน 3 ของผู้ที่ต้องการพิชิตเสมอ เขาได้บันทึกอีกหน้าของความสำเร็จ ในค.ศ.2015 ด้วยการพิชิตจุดสูงสุดที่ 8,611 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลโดยไร้เครื่องช่วยหรือแม้กระทั่งออกซิเจนได้อย่างปลอดภัย

การพิชิตยอดเขาครั้งนี้ Mike Horn ยังฝากเครื่องเตือนใจสำหรับผู้ที่รักการผจญภัยไว้อย่างน่าสนใจว่า “การพิชิตยอดเขาได้สำเร็จนั้นไม่ใช่สิ้นสุดที่จุดสูงสุด แต่ภารกิจจะสำเร็จได้เมื่อคุณกลับมายืนที่จุดเริ่มต้นตรงตีนเขาอีกครั้งต่างหาก ดังนั้นการวางแผนการปีนเขาให้มีชีวิตรอดกลับมาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำคัญยิ่งกว่าการพิชิตยอดเขาเสียอีก ถ้าคุณขึ้นไปยืนตรงจุดสูงสุดได้ แล้วแรงหมดตรงนั้น มันจะมีค่าอะไรถ้าไม่ได้กลับลงมาเล่าประสบการณ์อันคุ้มค่าที่คุณได้เจอมา”

สำหรับ Driven to Explore ทริปที่สองของ Mike Horn ก็คือโปรเจกต์ Driven to Explore Asia ซึ่งเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2018 นี้เอง นี่คือการเดินทางสำรวจโลกครั้งล่าสุดของเขา โดยจะขับรถตะลุยดินแดนในแถบเอเชียผ่านประเทศต่างๆ อย่างมาเลเซีย, กัมพูชา, เวียดนาม, ลาว, เมียนมาร์, อินเดีย, เนปาล, ปากีสถาน แล้วก็รวมถึงเมืองไทยของเราด้วย Mike Horn บอกเหตุผลถึงการเลือกเส้นทางในครั้งนี้ว่า ดินแดนแถบเอเชีย โดยเฉพาะโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นดินแดนที่น่าสนใจมาก ธรรมชาติงดงาม และเป็นพื้นที่ที่เขายังไม่เคยเดินทางสำรวจ แล้วเขาก็เชื่อว่าเขาจะค้นพบความประทับใจมากมายจากการขับรถในเส้นทางนี้ ตั้งแต่ธรรมชาติอันน่าตื่นตะลึง, วัฒนธรรมที่มีเสน่ห์น่าสนใจ, ไปจนถึงผู้คนต่างเผ่าพันธุ์ที่เป็นมิตร

เรื่องเล่าระหว่างทาง

หนึ่งสิ่งที่น่าสนใจของการเดินทาง Driven to Explore นั้นก็คือการผจญภัยกับครอบครัว โดย Mike Horn ร่วมเดินทางกับลูกสาวทั้งสองอย่าง Annika และ Jessica ที่ได้สายเลือดนักผจญภัยมาแบบเต็มๆ ทั้งคู่คอยเป็นทั้งผู้นำทางตลอดจนสลับกันขับรถให้ตลอดเส้นทาง และนั่นก็ทำให้เกิดเรื่องราวสนุกๆ ตามมาอีกมากมาย “ผมเคยขับรถในรัสเซีย ด้วยความที่เป็นทะเบียนแปลก ตำรวจนี่เรียกรถให้หยุดทุกสี่แยกเลยครับ เพื่อเรียกเงินจากเรา ผมทำได้ก็แค่เปิดกระจก ยิ้มให้ แล้วก็จ่ายไป แต่พอให้ลูกสาวมาเป็นคนขับบ้าง ตำรวจรัสเซียก็โบกให้รถหยุดนะ แต่เมื่อเธอเปิดกระจกแล้วยิ้มให้ ตำรวจก็จะยิ้มตอบแล้วก็โบกมือให้ผ่านไปง่ายๆ โดยไม่ต้องจ่ายสักแดงเดียว” นั่นเป็นหนึ่งในประสบการณ์ชวนยิ้มที่เขาเคยเจอ

เราต้องเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์พอๆ ที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นก่อนไปเยือน นั่นคือหลักการที่ Mike Horn ย้ำความสำคัญในการเดินทางแต่ละครั้ง “ด่านชายแดนมักจะเป็นปัญหาของนักเดินทางทุกคน กว่าจะผ่านแดนเราอาจต้องจ่ายใต้โต๊ะให้กับเจ้าหน้าที่ ถ้าเขาไม่พอใจก็จะยื่นพาสปอร์ตกลับแล้วขอค่าน้ำชาเพิ่ม แต่ลูกสาวผมเขารู้จักธรรมชาติของมนุษย์ดี เขายื่นกุญแจรถให้เจ้าหน้าที่ แล้วบอกว่านานๆ คุณจะมีโอกาสได้ขับรถดีๆ ขนาดนี้นะ ลองสิ แล้วมันก็จริงเหมือนที่ลูกสาวผมบอก เจ้าหน้าที่เอากุญแจไปขับรถข้ามแดนให้จริงๆ แล้วเขาก็ภูมิใจอย่างมากด้วย แถมเราก็ไม่ต้องจ่ายเงินพิเศษเพิ่ม ซึ่งบางทีเป็นวิธีที่ง่ายแสนง่าย ถ้าเราเขาใจมนุษย์ด้วยกันดีพอ” ปัญหาอาจผ่านพ้นไปด้วยวิธีที่ง่ายกว่าถ้าเรามองมันออก

การเดินทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด

Mike Horn เคยถูกถามว่า อะไรคือบรรทัดฐานในการเลือกเป้าหมายสำหรับพิชิตในแต่ละครั้ง เขาตอบกลับมาว่า “สิ่งแรกที่คุณจะต้องให้ความสำคัญก่อนก็คือการเคารพตัวเอง” เขาบอกว่าเมื่อเราเคารพตัวเองแล้วเราจะรู้ว่าคุณค่าของเราอยู่ที่ไหน จากนั้นเราจะรู้ว่าต้องการทำอะไร เพื่ออะไร แล้วก็เดินตามความต้องการนั้นไป “ผมไม่ได้วางแผนในการเลือกจุดหมายปลายทางเป็นหลัก ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องไปที่ไหน อย่างไร แต่เมื่อเราเคารพชีวิตในการเป็นนักสำรวจอย่างมีวินัยแล้ว ทริปต่างๆ จะเกิดขึ้นจากความต้องการลึกๆ ของเราเอง เมื่อมันเกิดขึ้นก็พยายามทำให้มันสำเร็จ เมื่อสำเร็จมันก็จะมีเป้าหมายต่อๆ ไปขึ้นมาใหม่เอง” ถ้าเราเป็นนักสำรวจที่แท้จริง ไม่มีวันที่เราจะคิดเส้นทางที่สำรวจไม่ออก ความท้าทายคือสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอเมื่อคุณออกเดินทาง มันไม่มีวันซ้ำกัน แล้วสำหรับตัวเขาจุดหมายปลายทางไม่ใช่สิ่งที่เขาจะนึกถึงเป็นอันดับแรกเหมือนนักเดินทางส่วนใหญ่ หากแต่เป็นวิธีการพิชิตเป้าหมายเสียมากกว่า เขาหลงใหลที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในแบบ Only done by one man in the world นั่นทำให้หลายต่อหลายการผจญภัยของเขาถูกบันทึกเป็นสถิติโลก หรือเป็นการเดินทางหนึ่งเดียวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสมือนลายเซ็นที่ยากจะเลียนแบบ และนี่ก็คือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เขาไม่หยุดเดินทาง

An introvert Star Wars fan boy who's also the co-founder of Cultured Creatures.

Magazine made for you.