เส้นทางที่แตกต่างของ ‘กิ-กิรตรา’ สาวเก่งผู้นำเข้าคอนเสิร์ตอินดี้สู่เมืองไทย

คงต้องเคยมีบางครั้ง ที่เราจะสุมหัวกับเพื่อนคุยฟุ้งถึงโลกในอุดมคติ งานในฝัน หรือแผนการอันบ้าบิ่นที่มักจะถูกพับเก็บลงลิ้นชักจินตนาการไปอย่างเงียบๆ หลังแยกย้าย

แต่สำหรับกิ-กิรตรา พรหมสาขา ณ สกลนคร อดีตนักร้องวง Niece ที่ปัจจุบันผันตัวมาเป็นคอนเสิร์ตโปรโมเตอร์และหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท Have You Heard? ผู้นำศิลปินนอกกระแสหาชมยากจากหลากหลายประเทศเข้ามาแสดงในบ้านเรา เรื่องที่เคยคุยเล่นอย่างเป็นจริงเป็นจังกับเพื่อน ถูกปลุกปั้นให้เป็นจริงจนประสบความสำเร็จ บุกเบิกกรุยทางสะสมกลุ่มคอดนตรีแนวเดียวกันจากร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นจนบัตร sold out แทบทุกงาน

7 ปี 45 โชว์ กับอีก 1 เทศกาลดนตรี

การชมคอนเสิร์ตที่เคยเป็นกิจกรรมนานๆ ที กลายเป็นไลฟ์สไตล์ที่มีให้ชมกันทุกเดือน หรือบางครั้งถึงขั้นสัปดาห์ชนสัปดาห์ วงที่ไม่น่ามีโอกาสได้ดูในไทย บินมาเปิดการแสดงกันเป็นว่าเล่น เฉพาะปี 2018 ที่ผ่านมา HYH ได้นำศิลปินอินดี้จากต่างประเทศเข้ามาจัดการแสดงในบ้านเราถึง 19 โชว์ รวมถึงต่อยอดสู่การจัดนิทรรศการศิลปะกับ Joan Cornellà ภายใต้ชื่อ Have You Heard?

มารู้จักสาวเก่งอย่าง กิ-กิรตรา ที่เปลี่ยนเส้นทางชีวิตมาริเริ่มจัดคอนเสิร์ตอินดี้ ที่ในเวลานั้นน้อยคนจะลุกขึ้นมาทำและสานต่อจนแข็งแกร่งและเป็นที่รักของเหล่าคนดนตรีมากมายในทุกวันนี้

จุดกำเนิด Have You Heard?

จากที่คุยกันกับเพื่อนในกลุ่มว่าคอนเสิร์ตต่างประเทศที่เข้ามาเล่นในเมืองไทยมีแต่สเกลใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย ส่วนวงนอกกระแสหน่อยเขาก็โฉบมาเล่นแต่ประเทศที่อยู่ใกล้ๆ บ้านเรา ซึ่งมีเยอะมากแต่ไม่มีใครเอาเข้ามากรุงเทพฯเลย งั้นเรามาทำกันเองเลยมั้ย แล้วก็แบ่งหน้าที่กันไป กิจะดูแลเรื่องการติดต่อกับวงดนตรี แล้วก็เรื่องการติดต่อสื่อสารต่างๆ แป๋ง Yellow Fang จะดูเรื่องโปรดักชั่นและอาร์ต ไดเรกชั่น และทราย (กรมิษฐ์ วัชรเสถียร) จะดูแลในเรื่องโปรดักชั่นด้วย(ปัจจุบันคุณทรายออกไปทำธุรกิจส่วนตัวแล้ว)

ก็เป็นการเริ่มต้นที่ค่อนข้างลงตัวมากๆ มีทั้งคนที่ทำงานกราฟิกดีไซเนอร์ ตอนนั้นกิทำโปรดักชั่นทำหนังโฆษณา ก็พอที่จะมีคอนเน็คชั่นกับบริษัทเครื่องเสียง แล้วก็มีเพื่อนๆ ที่เป็นนักดนตรีด้วย ก็เลยคิดว่าพวกเราน่าจะรวมตัวแล้วก็ทำกันได้

ในช่วงยุคนั้นคอนเสิร์ตยังเป็นกิจกรรมที่คนไม่ค่อยทำบ่อย ปีนึงดูกันอย่างมากก็ 3 คอนเสิร์ต จะรวมตัวแล้วไปดูด้วยกัน ต่างกับตอนนี้การดูคอนเสิร์ตเป็นกิจกรรมที่คนแทบจะทำกันทุกอาทิตย์ มีจัดเยอะมาก อย่างน้อยต้องดูทุกเดือน กลายเป็นกิจกรรมที่คนทำบ่อยขึ้น

โตมากับเพลงแนวไหน สไตล์อะไร

ช่วงไฮสกูลก็จะฟังเพลงแนว R&B เพลงป๊อบอย่างวง Backstreet Boys พอได้มาทำงานกับค่ายเบเกอรี่มิวสิคก็เริ่มฟังเพลงนอกกระแสของบ้านเรา แล้วพอได้ไปทำงานกับค่าย Smallroom มีพี่ๆเพื่อนๆในค่ายคอยแนะนำให้ฟังเพลงของวงนั้นวงนี้ ก็เป็นอะไรที่เปิดโลกได้รู้จักนักร้องนอกกระแสต่างประเทศอย่างเช่น Erykah Badu, Corinne Bailey Rae, The Radio Dept., Broken Social Scene, Kings of Convenience ค่อยๆขยับไปฟังแนวอินดี้ป๊อบ, ดรีมป๊อบ, โซล, นีโอโซล

แล้ว Playlist ที่ชอบฟังในรถตอนนี้ล่ะ

ช่วงหลังจะเป็นเพลง R&B, Rap, Jazz, Hip Hop ที่แจ๊สหน่อยๆ บางทีคนที่มาฟังด้วยจะบอกว่าไม่มีเพลงที่คึกกว่านี้แล้วเหรอ แต่เราฟังแล้วก็รู้สึกว่ารีแลกซ์ดีนะ มีบีทหน่อยๆ แจ๊สๆ โซลๆ อย่างเช่น Puma Blue, Yellow Days, Matty ,The Internet

คอนเสิร์ตที่ประทับใจที่สุด

ถ้าก่อนที่จะเริ่มทำ Have You Heard? คอนเสิร์ตนึงที่ประทับใจมากๆคือ คอนเสิร์ตอันปลั๊กของวง Modern Dog (The Very Common of Moderndog) งานนี้ทำให้เรารู้สึกได้ว่าที่จริงแล้ว คอนเสิร์ตมันสามารถทำให้แตกต่างได้ ในสมัยนั้นเวทีคอนเสิร์ตที่เราเห็นกันอยู่บ่อยๆจะเป็นแบบโมเดิร์นๆ แต่อันนี้ทำไฟเหมือนอยู่บ้าน มีการจัดบรรยากาศให้แตกต่างไปได้

ส่วนถ้าเป็นคอนเสิร์ตต่างประเทศที่ชอบก็ Bon Iver เขามาเล่นที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อ 3 ปีก่อน เป็นครั้งแรกที่ได้ไปดูคอนเสิร์ตในที่ที่เสียงเหมาะกับการจัดคอนเสิร์ตจริงๆ เล่นอะคูสติกคือดีเลย แล้วเขาก็มีเล่นอัลบั้มก่อนหน้านี้ด้วย งานชุดก่อนของเขาจะเป็นโฟล์คๆหน่อย ส่วนชุดล่าสุดก็จะฟังยากขึ้นนิดนึงมีผสมอิเล็กทรอนิกเข้าไป ร้องออกมาได้ powerful มากๆ แล้วก็ Childish Gambino ที่นิวยอร์คเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ที่ Madison Square Garden ได้ไปดูในสเตเดียมเลย เป็นครั้งแรกที่ดูคอนเสิร์ตที่มีขนาดใหญ่ขนาดนั้น ก็ตื่นตาตื่นใจมาก ไม่ว่าจะไลท์ติ้ง หรือ Visual บนเวที

Concert Culture ของไทยกับต่างประเทศแตกต่างกันมั้ย

จากที่เคยไปดูมาอย่างหนึ่งที่เห็นแตกต่างคือ เวลาไปดูคอนเสิร์ตต่างประเทศเขาจะไม่ค่อยใช้มือถือ ไม่ค่อยถ่ายรูป จนบางครั้งเราก็เกร็งไม่กล้ายกขึ้นมาถ่าย อย่างบ้านเราก็มีคนถ่ายภาพ บางทีคนก็ถ่ายทั้งโชว์ หรือมีคุยกัน คนที่ไปดูเขาก็อินกับโชว์มากๆ จะเต้นกันแบบไม่แคร์ พอพลังคนดูเต็มที่ ก็จะเป็นพลังส่งกลับให้นักดนตรีได้เหมือนกัน

ในส่วนของวงดนตรีเอง อย่างล่าสุดที่ไปนิวยอร์คมา จากที่สังเกตก็จะรู้สึกว่าหลายๆวงดนตรีที่ไม่ใช่วงรุ่นใหญ่ เวลาเขาเล่นในแถบบ้านเขา หรือแถบยุโรป จะมี requirement เรื่องไฟน้อยกว่าทางเอเชีย ใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่แล้วใน Venue นั้นๆ แล้วแต่ละวงจะมีสินค้ามาขายเยอะ บ้านเราจะไม่ค่อยมี หรือมีนิดเดียว

HYH01 คอนเสิร์ตครั้งแรก กับวง The Pains of Being Pure at Heart ผ่านด่านท้าทาย และเรียนรู้อะไรบ้าง

หลังจากที่ได้รับอีเมลตอบตกลง ก็รีบโทรไปบอกเพื่อนๆ แล้วมันก็ดีใจ สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราฝันไว้มันจะเกิดขึ้นแล้ว ครั้งแรกถือว่าค่อนข้างราบรื่น มีคนมามากกว่าที่เราคาดไว้ ก็ค่อนข้างแฮ้ปปี้ แม้ว่าอาจจะมีบางขั้นตอนการทำงาน ยังไม่ค่อยโฟลว์บ้าง เราโชคดีที่มีพี่ๆ สื่อมวลชนช่วยโปรโมต พี่ทีมเสียงทีมไฟที่ช่วยเหลืออย่างดี จำได้ว่าหลังจากจบคอนเสิร์ตคือนอนไม่หลับเลย มันมีความรู้สึกว่าสิ่งที่เราปลุกปั้นมาเป็นปีกว่าจะได้วงนี้มา กว่าจะโปรโมต กว่าจะดำเนินงานต่างๆ จนเขามาถึง

ครั้งที่ 2 กดดันกว่าครั้งแรกมั้ย

ครั้งที่ 2 เราย้ายไปจัดในที่ที่ใหญ่ขึ้น ที่ Moonstar Studio 1 กับวง Beach Fossils เราก็ตื่นเต้นว่าจะได้ทำโชว์ให้กับวงที่ชอบมากๆ แล้วก็มีปัญหาว่าหลังจากที่เราประกาศว่าจะมีวง Beach Fossils มาเล่น เขามีปัญหากับทาง Booking Agent ทำให้จะยกเลิกการทัวร์คอนเสิร์ต ตอนนั้นเครียดมากกกกกก ก็ต้องใช้เวลาอยู่ 2 อาทิตย์ในการคุยกับเขาจนสุดท้ายเขาก็มา พองานเริ่มแล้วก็มีปัญหาหน้างานเล็กๆ น้อยๆ อย่างหนึ่งเลยก็เรื่องการเดินทางที่มายากหน่อย

อะไรทำให้ตัดสินใจออกมาทำ Have You Heard? อย่างเต็มตัว

ตอนที่เริ่มทำ Have You Heard? เป็นช่วงที่กิทำงานฟรีแลนซ์โฆษณากับหนัง ก็เลยยังพอที่จะจัดการแบ่งเวลาได้อยู่ ด้วยช่วงแรกๆ Have You Heard? ยังมีคอนเสิร์ตไม่เยอะ 4-5 ครั้งต่อปี เราก็สามารถจัดการได้ จน Have You Heard? เริ่มโตขึ้นมากแล้วตอนนั้นเราทำงานประจำอยู่ด้วย ก็เริ่มรู้สึกว่าเราทำ 2 อย่างไม่ไหวแล้วล่ะ ต้นปี 2560 เลยตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพื่อที่จะให้เวลากับตรงนี้ให้เต็มที่
เพราะงานนี้ก็เป็นเหมือนลูกที่เราปั้นขึ้นมากับมือ ประกอบกับเป็นช่วงที่ตลาดก็กำลังโตด้วย

ทำต่าง-สำเร็จต่าง

คนทั่วไปมักมองว่าดนตรีอินดี้เป็นดนตรีของชนกลุ่มน้อย บางคนอาจมองว่าวงการนี้เล็กจนไม่อยากลงทุน อะไรทำให้กิคิดว่าคุ้มที่จะทำ

กิจะเป็นคนที่มีความ extreme มาตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว อย่างวิชาไหนที่ไม่ชอบก็จะไม่เรียนเลย แต่ถ้าเป็นวิชาที่ชอบก็จะเต็มที่มากๆ แล้วอันนี้คือแพสชั่นเราจริงๆ มันต้องได้สิ มันมีช่องโหว่ในตลาดอยู่ มีความรู้สึกว่ามันต้องได้อยู่ลึกๆ ทั้งๆ ที่มีแต่คนบอกว่าไม่ได้หรอก ใครจะมาเป็นสปอนเซอร์ ใครจะมาดู แต่ตัวเองคิดว่าต้องได้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน มันต้องมีวิธี ต้องมีคนที่อยากดูวงแบบนี้เหมือนเรา อยากทำให้สิ่งนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้

ได้คิดถึงความคุ้มค่าในเรื่องการลงทุนทำธุรกิจบ้างมั้ย

ตอนนั้นแต่ละคนมีงานหลักของตัวเอง Have You Heard? จึงเป็นเหมือนงานอดิเรก เราทำด้วยความรู้สึกเอามัน ได้ความสะใจ เวลาทำงานก็จะมีความเครียดความเหนื่อย แต่อันนี้ก็เป็นเหมือน reward อย่างหนึ่ง ช่วยเติมเต็มแพสชั่นให้กับเรา ไม่ได้คิดว่ามาทำคอนเสิร์ตกันเถอะ แล้วเดี๋ยวเราจะรวยไปด้วยกัน ซึ่งอันนี้ก็ยังเป็นแนวคิดของการทำ Have You Heard? ทุกวันนี้ด้วย บางโชว์เราก็รู้ว่าเอาเข้ามาแล้วขาดทุนแน่ๆ แต่เราก็ยังทำเพราะอยากเอามาเป็นแรงบันดาลใจกับนักดนตรีในบ้านเรา ให้คนไทยได้ดูวงดีๆ แต่ทั้งนี้ก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการทำธุรกิจไปด้วย มีโชว์ที่คิดว่าจัดแล้วบัตรขายหมดแน่ๆ ก็ต้องจัดการให้มีบาลานซ์ทั้งสองอย่าง

วงดนตรีแบบไหน คือวงที่ Have You Heard? มองหา

ตอนแรกๆ ที่ทำคนก็จะบอกว่า Have You Heard? มักจะเป็นวงแนวดรีมป๊อบ อินดี้ร็อค แต่พอเราทำมานานขึ้นก็มีวงแนวอื่นๆที่น่าสนใจเพิ่มขึ้น ประกอบกับคนไทยฟังเพลงกว้างขึ้น หลากหลายมากขึ้น เราก็ดูจากกระแสด้วยว่าวงนี้กำลังมานะ เอาเข้ามาให้คนดูดีกว่า บางวงก็เป็นวงเก่าๆบ้าง ที่คนไม่คิดว่าจะได้ดู อย่างเช่น วง Yo La Tengo, Mew, Ash รวมถึงวงใหม่ๆ ที่กำลังอยู่ในกระแส และวงที่พวกเราชอบกันเองแล้วพยายามจีบมาเล่น

ยกตัวอย่างวงแบบนี้ล่ะที่ใช่ และอยากได้มาเล่นมากๆ

ก็อย่างเช่น Conelius เป็นวงมีความสามารถมาก มีการแสดงสดที่พิเศษจริงๆ เป็น factor ที่สำคัญอย่างหนึ่งว่าเราจะเลือกวงไหนเข้ามา ต้องมี performance ที่น่าสนใจ ไม่ได้อยู่ในกระแสมากนัก แต่น่าดู ถ้าเป็นวงใหม่ๆ หน่อยก็อย่างเช่น Blood Orange เป็นศิลปินที่มากความสามารถ เอา R&B มาผสมกับอิเล็กทรอนิก แล้วเวลาที่เขาเล่นสดเขาจะมีลีลาที่น่าสนใจ หรืออย่าง The Internet ทุกคนในวงมีความเป็น Producer ทั้งๆ ที่ยังเด็กอยู่มาก แล้วดนตรีเขาก็ผสมผสานหลายแนว

แล้วแบบไหนที่ไม่ใช่สไตล์ Have You Heard?

ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเราไม่ค่อยนำวงที่มีเพลงหวาน หรือซึ้งๆ เข้ามา ด้วยทีมเราไม่ได้อิน ไม่ค่อยถนัดกับแนวนั้นด้วย หรืออะไรที่เป็นอิเล็กทรอนิกมากๆ ก็อาจจะไม่ใช่เรา

จากจัดคอนเสิร์ต ขยับมาจัดนิทรรศการได้อย่างไร

ทางเอเจนท์ของ Joan Cornella เขาติดต่อมา ตอนแรกเราก็งงๆ เหมือนกันว่าเขาอีเมลมาผิดหรือเปล่า เราเป็น Concert Promoter นะ ไม่เคยทำ Art Exhibition มาก่อนเลย เขาก็บอกว่าทางคุณ Joan Cornella เขารู้สึกว่างานศิลปะของเขามีความเสียดสีอยู่ เรียกว่าเป็นศิลปะนอกกระแสเหมือนกัน เขาก็เลยอยากร่วมงานกับคนที่อยู่ในซีนนอกกระแส

แตกต่างจากคอนเสิร์ตมั้ย

แตกต่างเลยก็คือ คอนเสิร์ตแสดงจบภายในคืนเดียว แต่นิทรรศการมีตั้งแต่ช่วงจัดเตรียม จัดแสดงกี่วัน และยืดยาวมาก 2-3 อาทิตย์ แต่ก็สนุกดีค่ะ เราต้องดีลกับอะไรหน้างาน มีอะไรให้ได้แก้ปัญหาตลอด แล้วต้องมาคิดว่าจะโปรโมตยังไงให้อยู่ในกระแสได้ตลอดช่วงนั้นด้วย

จาก Have You Heard? ขยับสู่ HUH? สองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร

แต่ก่อนเราทำแต่คอนเสิร์ตที่เป็น Full Band พอมาช่วงหลังๆ เราเริ่มรู้สึกว่ามี DJ มี Producer ที่น่าสนใจ แต่แฟนๆ Have You Heard? บางคนอาจจะไม่ได้ชอบแนวนี้ ก็เลยคิดว่าแตกแบรนด์ออกมาให้ชัดเจนดีกว่า ก็คิดชื่อกันว่าจะเอาอะไรดี แล้วก็มาลงตัวที่ HUH? …เฮอะ? ดีเจอะไรนะ เพลงอะไรนะ นี่คืออะไร อะไรที่ใหม่ และมีความเป็นอันเดอร์กราวน์ เลยเป็นที่มาของชื่อ แป๋ง Yellow Fang เขาชอบแนวอิเล็กทรอนิก อันเดอร์กราวน์ ก็จะไปทำการบ้านมาว่ามีดีเจ มีโปรดิวเซอร์คนนี้น่าสนใจ

ด้าน Production ก็จะง่ายขึ้นเยอะ เพราะมีแค่ดีเจ ดีเจเซ็ต ไลฟ์เซ็ตก็จะมินิมอลลงมา แต่ปัญหาที่เราเจอตอนนี้คือ สิ่งที่เราทำยังค่อนข้างเล็กและใหม่มากในเมืองไทย เชื่อว่าก็มีคนที่ชอบแนวนี้อยู่ล่ะ แต่ว่ายังกระจัดกระจาย ต้องใช้เวลารวบรวมให้เขามาอยู่ด้วยกัน แล้วก็มีปัจจัยความยากตรงที่พอคนเห็นว่าเป็นดีเจ ทำให้ตั้งราคาสูงไม่ได้ ทั้งๆ ที่กว่าจะเอาเขาบินมาแสดงที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้ถูกเท่าไรนัก

ปีนี้นอกจากทำคอนเสิร์ตแล้วยังร่วมจัด Maho Rasop Festival ซึ่งเป็นมหกรรมดนตรีนอกกระแสระดับโลกครั้งแรกของเมืองไทยด้วย อันนี้เป็นอีกความท้าทายใหม่ของเรา เพราะการทำ Festival เป็นสเกลที่ใหญ่ ก็ปวดหัวกว่าการจัดคอนเสิร์ตหลายเท่า ครั้งแรกที่ผ่านมาเรามีเวลาในการติดต่อวงค่อนข้างน้อย เริ่มคุยติดต่อกับวงช่วงเดือน มีนาคม-เมษายน โดยทางกิจะติดต่อศิลปินทางตะวันตก ส่วนทาง Seen Scene Space จะติดต่อศิลปินทางตะวันออกเป็นหลัก แล้ว Fungjai จะเป็นเรื่องโอเปอเรชั่น , ประชาสัมพันธ์และติดต่อกับทางศิลปินไทย ปีหน้าเราก็จะพยายามจัด Line Up ให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น

เป้าหมายต่อไปของ HYH?

ก็จะพยายามที่จะนำวงดนตรี ดีเจ หรือ โปรดิวเซอร์ที่น่าสนใจเข้ามาเรื่อยๆ และพยายามเอาวงที่ทุกคนอยากดูเข้ามา รวมถึงวงที่ไม่คิดว่าจะได้ดูด้วย แล้วก็จะมีงาน Maho Rasop Festival ซึ่งจะมีขึ้นในกลางเดือนพฤศจิกายนปีหน้า นอกจากนี้ก็เริ่มมีคุยกันว่าอยากจะทำคอนเทนต์มากขึ้น เพราะเรารู้สึกว่าวงหรือศิลปินที่เรานำเข้ามา เขาก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจแต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ น่าเลือกมานำเสนอเป็นภาษาไทยในแบบ Have You Heard? ให้น้องๆ รุ่นใหม่ที่เขาเริ่มโต เริ่มฟังเพลงเข้ามาหาข้อมูลได้ง่ายๆ หรือแม้แต่เราเอง กลุ่มคนที่โตหน่อยที่ไม่ได้มีเวลาไปค้นหา หรือติดตามฟังเพลงได้มากเหมือนแต่ก่อน อยากจะทำคอนเทนต์ที่เป็นศูนย์รวมให้คนได้เข้ามารับรู้ข่าวสาร รู้จักวงใหม่ๆ เพลงใหม่ๆ

อยากพูดอะไรกับ กิ เมื่อ 7 ปีก่อนที่ลุกขึ้นมาทำ Have You Heard?

อยากบอกว่า ลุยเถอะ ลุยให้เต็มที่เลย ถ้าเราเชื่อมั่นว่าเราถนัดหรือทำในสิ่งไหนได้ดี มีแพสชั่นกับอะไร แล้วสามารถหมกมุ่นกับสิ่งนั้นได้ ก็อยากให้ลุยไปเลย กิเชื่อว่าคนเราจะทำอะไรได้ดี เราต้องอินกับสิ่งนั้นจริงๆ ถ้าไม่แน่ใจก็อยากให้ลองค้นหาตัวเองก่อน ว่าอะไรที่เราจะอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืนจริงๆ ถ้าทุกคนหาสิ่งนั้นเจอ ก็จะเต็มที่กับมันได้ พอเราเต็มที่เราก็จะยิ่งเก่ง และเติบโตไปกับสิ่งนั้น

 


Sponsored by Mitsubishi New Pajero Sport

อีกความสำเร็จที่แตกต่างไปกับรถอเนกประสงค์รุ่นพิเศษ Mitsubishi New Pajero Sport Elite Edition ที่ตกแต่งอย่างมีระดับ ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ มาพร้อมสมรรถนะทรงพลัง ด้วยเครื่องยนต์ MIVEC ดีเซลเทอร์โบ 2.4 ลิตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด และความปลอดภัยขั้นสุดกับเทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่เปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็น 4HLc หรือ 4LLc ได้ตามความต้องการ ผสานดีไซน์อย่างเหนือชั้นทั้งภายนอกและภายใน อาทิ เบาะสีน้ำตาลตัดเย็บดีไซน์พิเศษ และยังสะท้อนความร้อนจากแสงแดดด้วยเทคโนโลยี QUOLE MODURE ช่วยให้คุณผ่อนคลายและนั่งสบายอย่างแตกต่างยิ่งขึ้น


ขอบคุณสถานที่:
Cafe Thieves and Bar
ซอยเอกมัย 12
เปิด: อังคาร-อาทิตย์ 9:00-17:00 น.

Conkey’s Bakery
ซอยเอกมัย 22
เปิด: 8:00-24:00 น. (ปิดวันพุธ)

Magazine made for you.