เร้นลับ รื่นรมย์ ในย่านคลองสานและข้างเคียง

ทุกวันนี้เราใช้ชีวิตกันอยู่ท่ามกลางความจอแจวุ่นวายที่กระจายอยู่รอบตัว ความคึกคักของเมืองที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความสงบส่วนตัวกลายเป็นสิ่งที่เราต่างปรารถนามากยิ่งขึ้น แค่ได้ออกไปพักผ่อนหย่อนใจ ซึมซับกับเสียงธรรมชาติ หรือเดินเล่นช้าๆ นั่งเพลินๆ อยู่ในสถานที่ที่ไม่มีคนพลุกพล่าน ก็นับเป็นความรื่นรมย์ของชีวิตแล้ว

แม้ว่าวันนี้พื้นที่บริเวณคลองสานจะเติบโตเปลี่ยนแปลงไปเป็นย่านสร้างสรรค์ที่คึกคักทันสมัย แต่ในแถบนี้ก็ยังมี hidden Spot สุขสงบที่หลบลี้ซ่อนอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งในย่านคลองสานเอง และย่านเจริญกรุงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ไล่ไปจนถึงตลาดน้อย เยาวราช แต่ละแห่งซ่อนเรื่องราวที่น่าสนใจอะไรไว้บ้าง แวะไปทำความรู้จักความสงบแสนรื่นรมย์ที่มีอยู่จริงในมหานคร

Chata Specialty Coffee

คาเฟ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านเก่าสมัยร.6

จากถนนเยาวราชที่ไม่เคยหลับใหล เพียงแค่ก้าวเข้าประตู BAAN ๒๔๕๙ ก็ตัดขาดจากสารพัดความวุ่นวาย คล้ายกับมีใครกดปิดเสียงรบกวนจากภายนอก

ไม่ว่าคุณจะเชื่อใน ‘Destiny’ หรือไม่ แต่สำหรับ Chata Specialty Coffee คาเฟ่เรือนกระจก ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในบูธีคโฮเทล BAAN ๒๔๕๙ (โรงแรมที่รีโนเวตจากบ้านเก่าสมัยร. 6) การได้เจอะกับกำแพงลายวัว (กำแพงที่มีอายุนานจนกร่อนเห็นลายการก่ออิฐ) เก่าแก่อายุกว่าร้อยปีนั้น เป็นเหมือนดั่งโชคชะตาฟ้าลิขิต ที่ทำให้เกิดเป็นคาเฟ่เรือนกระจกสีดำสไตล์ Contemporary Loft อันหอมกรุ่นไปด้วยเมล็ดกาแฟที่ทางร้านคัดสรรมาทั้ง House Blend และ Single Origin จนถูกชะตาคอกาแฟ และเหล่า Café Hopper จากทั่วสารทิศ ทำให้ต่อมาต้องมีการขยับขยายพื้นที่ปรับเรือนกระจกสีขาวสไตล์โคโลเนียลด้านหน้า ซึ่งแต่เดิมเป็นล็อบบี้โรงแรม ให้เป็นอีกมุมที่ต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือน อีกทั้งยังเพิ่มเมนูเครื่องดื่มให้หลากหลายขึ้น มีเมนูซิกเนเจอร์ให้เลือกถึง 7 เมนู อย่าง Colapresso กาแฟดำที่เติมโคล่าและมะนาวเพื่อเพิ่มความสดชื่น และ Baby Chic ช็อคโกแลตเย็นกลิ่นสตรอเบอรี่

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเมนูคาว-หวาน ที่บรรจงใส่ความเป็นไทยลงไป จนกลายอาหารสไตล์ฟิวชั่นหลากรสชาติ แต่ละจานล้วนต้องผ่านการชิมแล้วชิมอีก จนกว่าจะอร่อยถูกปากจริงๆ จานแรกที่ชะตาได้ปล่อยออกมา คือ โสภา มอซซาเรลล่า ข้าวคลุกกะเพราไก่อบชีส สุดหอมหวลชวนลิ้มลอง ส่วนถ้าใครที่ชอบอาหารสไตล์ไทยๆหน่อย ขอแนะนำข้าวคลุกไก่ต้มยำแห้ง ต้มยำไก่เข้มข้นที่ผัดคลุกเคล้ากับข้าวสวยโปะหน้าด้วยไข่เป็ดดาว

สำหรับสายของหวาน ไม่ควรพลาดซีรีส์ขนมเค้กไทย เค้กขนมต้ม และเค้กกล้วยบวชชี ที่ใส่ความเป็นไทยเข้าไปในขนมเค้กเนื้อชิฟฟ่อนสุดนุ่มและบางเบาไว้ได้อย่างพอดิบพอดี หรือถ้าชอบหวานๆ เย็นๆ ครัวซองก์ไอติมกะทิไข่แข็งโบราณของไทย ก็กรอบนอกหวานเย็นชื่นใจไม่เบา

ไม่ว่าจะเพราะได้อิ่มเอมกับแสงธรรมชาติ ได้จิบกาแฟท่ามกลางบรรยากาศสุดคลาสสิค หรือได้จิบกาแฟพลางเพ่งพินิจร่องรอยบนกำแพงเก่าอายุกว่าร้อยปี การกลับมาเยือนพื้นที่อันสุขสงบแห่งนี้อีกครั้ง คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: 8:00-17:00 น. (ปิดวันจันทร์)

Location: 98 ถนนพาดสาย เขตสัมพันธวงศ์ (ตั้งอยู่ในโรงแรม Baan2459)
Pier: ท่าเรือราชวงศ์ (เดินต่ออีกประมาณ 900 เมตร)
08 4625 2324
www.facebook.com/chataspecialtycoffee

[su_gmap width=”1600″ address=”Chata Specialty Coffee” zoom=”15″]Chata Specialty Coffee[/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

 

Walden Home Cafe

คาเฟ่(แสน)สงบสุดวินเทจในย่านคลองสาน

“…ฉันเชื่อ, ทั้งโดยศรัทธาและประสบการณ์, ว่าการที่จะยังตนอยู่ในโลกนี้ มิใช่เป็นเรื่องลำเค็ญ แต่เป็นการหย่อนใจ…” หนึ่งในประโยคจากหนังสือ ‘Walden’ เขียนโดย Henry David Thoreau แปลโดย สุริยฉัตร ชัยมงคล ที่คุณดิฐ เจ้าของร้านและบาริสต้าร้าน Walden Home Cafe ได้ขีดเส้นใต้ด้วยดินสอไม้เอาไว้

จากร้านทำผมตรงบริเวณตึกแถวถนนสมเด็จเจ้าพระยา มาเป็น ‘Walden Home Café’ คาเฟ่วินเทจสีเขียวมะกอก คาเฟ่น้องใหม่ในย่านคลองสาน แค่เพียงผลักประตูเข้าไปเบาๆ มวลแห่งวันวานที่อยู่ในคาเฟ่ก็ค่อยๆ ละลายความจอแจที่ติดตัวมาระหว่างการเดินทาง เสียงเพลงฮิตรุ่นคุณพ่อคุ้นหูหลากหลายแนว คลาสสิคร็อค, แจ๊ส, สวิง ฯลฯ บางจังหวะก็คลอเคล้าด้วยเสียงเครื่องบดเครื่องชงกาแฟ ความเก่าที่เขาแสนหลงใหล ไม่ได้ปรากฎแค่เพียงบนกำแพงปูนดิบๆ เฟอร์นิเจอร์ไม้เท่านั้น ทว่าหนังสือเล่มโปรด รูปภาพเก่าๆจากตลาดนัดของเก่า และอีกสารพัดของสะสมเก่าส่วนตัว ยิ่งประกอบให้ป่าสีเขียวมะกอกแห่งนี้รื่นรมย์ยิ่งขึ้น และใครที่ต้องการความสงบเป็นพิเศษ พื้นที่ชั้น 2 มีชั้นหนังสือและที่นั่งอีกหลายมุม ให้คุณขึ้นไปหลบซ่อนตัว และบางครั้งก็มีกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ อาทิ ดนตรี, ศิลปะ, เสวนา ฯลฯ ด้วย

ช่วงที่เปิดคาเฟ่ใหม่ๆ Walden มีแค่เพียงกาแฟเบสิคแค่ไม่กี่เมนู และยังไม่มีเครื่องดื่มพิเศษประจำร้าน แต่พอมีลูกค้าถามหาเมนูซิกเนอเจอร์บ่อยขึ้น เขาจึงได้เริ่มเสาะหา และลองครีเอทเครื่องดื่มแก้วใหม่ๆขึ้นมา จนได้เมนู ‘Cascara Latte’ กาแฟที่ใส่น้ำเชื่อมโฮเมดจากเปลือกกกาแฟ (คาสคาร่า) กาแฟที่ทานได้ง่ายๆสั่งได้ทุกวัน ถ้าไม่ถนัดกาแฟ Walden Signature Chocolate, Matcha Latte จะไม่ทำให้คุณผิดหวังเช่นกัน หรือจะฝากท้องด้วยอาหารสไตล์ตะวันตกอย่าง สปาเก็ตตี้ผัดแห้งกับกระเทียมและพริกเสิร์ฟคู่ปลาแซลมอนย่าง ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยล่ะ

ทุกๆยามบ่ายบริเวณที่นั่งมุมหน้าร้านใกล้ๆบาร์ จะมีแสงต้นไม้ เงาโลโก้ร้าน ที่สะท้อนเข้ามาบริเวณกำแพงข้างใน เป็นอีกมุมโปรดของดิฐ ชายหนุ่มผู้เชื่อว่าความพิเศษของคาเฟ่มาจาก ‘ลูกค้า’ ต่างหาก

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: 9:00-19:00 น.

Location: 451 ถ.สมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน
Pier: ท่าเรือคลองสาน (เดินต่ออีกประมาณ 800 เมตร)
06 2362 9915
www.facebook.com/waldenhomecafe/

[su_gmap width=”1600″ address=”Walden Home Café” zoom=”15″]Walden Home Café[/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

 

Wine Stadium

อัฒจันทร์ชมแม่น้ำแห่งแรกของโลก

จะโรแมนติกเพียงใด หากเราได้นั่งชมวิวกรุงเทพฯ ยามแสงตะวันจะลับขอบฟ้าบนโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มองเห็นความงามของเจริญกรุง เจริญนครและย่านข้างเคียงได้อย่างเจริญใจ

“ทุกครั้งที่เราไปยืนที่ Rooftop โรงแรมเราก็ค้นพบว่า โค้งแม่น้ำบนจุด Rooftop สวยเกินบรรยาย ฝั่งตรงข้ามเห็นเจดีย์ทองคำ เห็นเยาวราช ฝั่งซ้ายเห็นวัดอรุณ ฝั่งขวาก็เห็นตึกแทบทุกตึกแถวสาทร… ถ้าเราให้คนอื่นมาเห็นเหมือนเราก็คงดี” จากความคิดนี้ คุณหมิ่นและคุณเล็กสองครีเอทีฟ เจ้าของโรงแรมที่โรแมนติกที่สุดอย่าง Amdaeng Riverside Bangkok Hotel ตัดสินใจเปิดพื้นที่ Rooftop ให้คนอื่นๆ ได้สัมผัสบรรยากาศสุดโรแมนติกนี้ นอกเหนือจากเดิมที่เปิดให้เฉพาะแขกที่มาพักเท่านั้น

ปลายปีที่ผ่านมา Amdaeng Riverside Bangkok Hotel บูธีคโฮเทลสีแดงชาด Hidden Place ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จึงได้เปิดตัว Rooftop Bar ที่มีชื่อว่า ‘Wine Stadium’ ที่มีดีไซน์เป็นอัฒจันทร์ ไล่ระดับเป็นขั้นๆ สามารถรองรับได้ 30-35 คน ให้นั่งชมแม่น้ำได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะบังวิวใคร บริเวณบาร์ออกแบบเป็นโครงเจดีย์เหล็ก ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ซึ่งสามารถมองเห็นพระปรางค์ของจริงได้จาก Rooftop Bar นี้ด้วย

ในส่วนของเครื่องดื่มนั้นมีทั้งค็อกเทล ซึ่งครีเอทขึ้นโดยบาร์เทนเดอร์แชมป์ประเทศไทยและเอเชีย ไวน์ละมุนลิ้นที่คัดเลือกมาอย่างดี แล้วก็ยังมีม็อกเทลสำหรับคนที่ไม่อยากดื่มแอลกอฮอลล์ แต่ละเมนูได้แรงบันดาลใจมาจากโรงแรม ทั้งสีแดงชาดของตัวตึก แม่น้ำเจ้าพระยา หรือความเป็นไทยต่างๆ อาทิ Amdaeng Nature ม็อกเทลที่มีสีแดงเข้มโทนเดียวกับตึก และท็อปด้วยเม็ดทับทิมอินเดียสีแดงเข้ม ได้รสเปรี้ยว หวานสดชื่น Amdaeng Aromatic มาตินี่ ค็อกเทล ที่ผสมผสานกลิ่นหอมและความโรแมนติกเอาไว้ มีวอดก้า ไวน์ขาวแล้ว Top แชมเปญไว้ด้านบน มีความเปรี้ยวฝาดของไวน์ ได้กลิ่นอโรม่าจาก Elder Flower และใบไทม์สด Amdaeng Bellini แชมเปญ ค็อกเทลที่ตกแต่งด้วยกระเจี๊ยบแห้ง เหมาะกับจิบคู่กับทาปาสยิ่งนัก

ดนตรีที่เปิดคลอเบาๆ ให้เราได้ฟังเสียงธรรมชาติรอบตัว และใช้เวลาพูดคุยนั่งเคียงข้างคนที่รู้ใจ ในบรรยากาศสงบและเป็นส่วนตัวที่สุด และยิ่งในเทศกาลพิเศษที่มีจุดพลุไฟเฉลิมฉลอง ที่ Wine Stadium คุณจะได้เห็นดอกไม้ไฟจากหลายๆจุดในกรุงเทพฯด้วย

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: 17:00-24:00 น.

Location:12/1 ซ.เชียงใหม่ 1 ถ.เชียงใหม่ เขตคลองสาน (ใกล้ ล้ง 1919)
Pier: ท่าเรือล้ง 1919 (เดินต่ออีกประมาณ 300 เมตร) หรือ ท่าเรือข้ามฟากท่าดินแดง (เดินต่ออีกประมาณ 1.1 กิโลเมตร)
0 2162 0138
www.facebook.com/AMDAENG-Bangkok-riverside-hotel-140766939908638/

 

[/su_tab] [/su_tabs]

 

Supanniga Cruise

ดื่มด่ำความงามของสองแม่เจ้าพระยาในบรรยากาศส่วนตัว

ลองเปลี่ยนบรรยากาศการนั่งชมแสงยามเย็นแบบเดิมๆ จากตึกอาคารสูงขณะเตรียมตัวเลิกงาน หรือ บนท้องถนนที่แสนติดขัด ไปนั่งชมอย่างชิลล์ๆกลางแม่น้ำเจ้าพระยาดูสักครั้งมั้ยล่ะ?

Supanniga Cruise (เรือสุพรรณิการ์) ไม่เพียงพาเราลอยละล่อง ไปสัมผัสบรรยากาศยามเย็น ของสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เรือสำราญบรรยากาศสงบ มีความเป็นส่วนตัว (มีที่นั่งจำกัดเพียง 40 ที่นั่งเท่านั้น) โลโก้ของเรือที่มีสัญลักษณ์รูปดอกสุพรรณิการ์สีเหลืองสดใสที่อยู่ในพังงาเรือ ประกอบกันโทนสีเหลืองจากวัสดุ และของตกแต่งต่างๆ ยิ่งชวนให้เรานึกถึงรสชาติอาหารไทยต้นตำรับคุณยาย จากสุพรรณิการ์โฮมจังหวัดขอนแก่น ที่ได้เคยไปลิ้มลองที่ Supanniga Eating Room ด้วย (และยังได้รับรางวัล Michelin Guide 2018) จึงมั่นใจได้เลยว่าแต่ละจานที่ถูกคัดเลือก และนำมาบรรจุไว้ในแต่ละคอร์สบนเรือสุพรรณิการ์ ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

และเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง 10best.com ยังได้คัดเลือกให้ Supanniga Cruise เป็นอันดับ 1 ในสิ่งที่โรแมนติกที่ควรทำในกรุงเทพฯด้วย คงจะดีไม่น้อยหากคอร์ส Evening Afternoon Tea Cruise และ Evening Cocktail Cruise มีคนพิเศษมาร่วมทานด้วยกัน สำหรับคอร์สจิบชายามบ่ายนี้นอกจากจะมีขนมไทยประยุกต์อย่าง ช่อสพรรณิการ์ไส้ปลา ขนมจีบนกน้อย ขนมกล้วย ขนมฟักทอง พานนาคอตต้าชาไทย ฯลฯ แล้วยังมีชาซิกเนเจอร์ใจเย็นเย็น จาก TE ส่วนคอร์สค็อกเทลนั้น มีซิกเนเจอร์ ค็อกเทลซึ่งคิดค้นโดย Vesper มีให้เลือกถึง 3 รสชาติ Arom-Dee, Supanniga G&T และ Bangkok Negroni ทานคู่กับอาหารแกล้มอย่างหมูยอทอด ไส้กรอกอีสาน ปีกไก่ทอด (หมูยอทอดและไส้กรอกอีสานสั่งตรงมาจากขอนแก่น) นอกจากนี้ยังมี Dinner Champagne Taittinger Cruise คอร์สดินเนอร์ที่พาล่องแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเต็มอิ่ม 2.15 ชั่วโมง (ตั้งแต่เวลา 18:15-20:30 น.) เสิร์ฟอาหาร 6 อย่าง รวมทั้งแชมเปญ/ไวน์คนละแก้ว

Supanniga Cruise เป็นอีกประสบการณ์แห่งความสงบสุขที่ผ่านไปไว และทำให้เราได้ทำความรู้จักกรุงเทพฯ ในมุมมองใหม่ๆด้วย

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: 16:45-17:45 น. (จันทร์-ศุกร์)

Location: สามารถขึ้นเรือได้ที่ท่าเรือ River City 2 (ขึ้นเรือเวลา: 16:45 น.
และควรมาถึงก่อนประมาณ 15-20 นาที)
Pier: ท่าเรือด่วนสี่พระยา (เดินต่ออีกประมาณ 350 เมตร)
0 2714 7608, 09 7238 8284
www.supannigacruise.com

[su_gmap width=”1600″ address=”Supanniga Cruise” zoom=”15″]Supanniga Cruise[/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

 

BARBON

บาร์ลึกลับในย่านเยาวราชที่อัดแน่นด้วย Craft Spirit

แม้ว่าจะเปิดมาได้ครบ 1 ปีแล้ว แต่บาร์ลับที่มี The Barbon Ghost คอยต้อนรับแห่งนี้ ยังมีเรื่องลับๆที่เราอยากให้คุณได้รู้จักมากยิ่งขึ้น
จากเดิมที่เปิดตัวในฐานะบาร์น้องใหม่ที่เน้นเครื่องดื่มประเภทค็อกเทลเป็นหลัก เร็วๆนี้ Barbon (บาร์บน) บาร์ลึกลับที่ซ่อนในย่านเยาวราช และอยู่บนชั้น 3 ของโฮสเทล Urby ได้ขยับพื้นที่ให้บาร์แห่งนี้เสมือน Craft Drinks Parlor ห้องนั่งเล่นที่มีเครื่องดื่มหลากหลายยิ่งขึ้น โดยเพิ่มเติม Cocktail ใหม่ๆที่เน้นใช้ Thai Spirit อาทิ Chalong Bay รัมสัญชาติไทยชื่อดังจากจังหวัดภูเก็ต กลั่นมาจากอ้อย 100% มีหลายรสชาติ ทั้งชินนามอน, ตะไคร้, มะกรูด ฯลฯ (ทุกวันศุกร์และเสาร์จะมีบาร์เทนเดอร์เข้ามาเสริมทัพด้วย)

เมนูใหม่(ล่าสุด)ที่อยากให้คุณลองทำความรู้จักคือ Cinnamon Mojito ความเข้มของ Mojito ผสานกับกลิ่นชินนามอนจากรัม Thai Spirit และจากแท่งชินนามอน และ Weiss Spritz Ale ค็อกเทลที่นำเบียร์( Witbier) ใส่เข้าไปและได้รสชาติเปรี้ยวสดชื่นจากส้มกับมะนาว และมีคราฟท์เบียร์หลายรสชาติทั้งของไทยและต่างประเทศ อีกทั้งคุณลูก้า (Luca Lodoli) เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องไวน์ (ซอมเมอลิเยร์) จึงมีเมนูไวน์จากอิตาลีเพิ่มเข้ามา ในราคาที่เหมาะสมด้วยคุณลูก้ายังเป็นผู้นำเข้าไวน์จากอิตาลีด้วย ซึ่งในอนาคตจะมีการจัด Wine Testing ด้วย

“ผมหลงใหลเครื่องดื่มมาตั้งแต่ตอนอยู่อิตาลี ที่นั่นสามารถหาเครื่องดื่มดีๆได้ง่าย และมีโอกาสได้ดื่มไวน์คุณภาพดีมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งเมื่อพอเราได้ลิ้มรสรสชาติดีๆ จะยิ่งทำให้อยากศึกษาความต่างนั้น พอได้มาลองดื่มคราฟท์เบียร์ ที่ผู้ผลิตใส่ใจคุณภาพ เอาใจใส่เลือกวัตถุดิบที่ดี ก็เกิดเป็นรสชาติที่ความแตกต่างได้แล้ว สำหรับค็อกเทลก็เช่นกัน ถ้าเราเลือกมะนาวที่ดี น้ำผึ้งที่ดี ก็ทำให้ได้ค็อกเทลที่มีรสชาติแตกต่างไปได้ เหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้ผมอยากทำเครื่องดื่มที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม”

เรียบง่าย วัตถุดิบที่ดีของไทย สามารถคัสตอมได้ คือคอนเซ็ปต์หลัก ในการผสมผสานเครื่องดื่มค็อกเทลใหม่ล่าสุดของบาร์บน จากความตั้งใจและเข้าใจในรสชาติของเครื่องดื่มอย่างจริงจัง บาร์บนในขวบต่อไปนี้ น่าจะถูกใจคนที่พึงใจในบรรยากาศที่แสนน่าดื่มด่ำ พร้อมๆกับจิบเครื่องดื่มใส่ใจตั้งแต่วัตถุดิบ นอกจากนี้ทางบาร์บนยังพร้อมที่คราฟท์ม็อกเทลชวนชื่นใจในแบบที่คุณชื่นชอบอีกด้วย

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: 17:00-24:00 น. (ปิดวันจันทร์)

Location: 1222/1 ถ.ทรงวาด แขวงจักรวรรดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ (ชั้น 3 ของ Hostel Urby)
Pier: ท่าเรือราชวงศ์ (เดินต่ออีกประมาณ 450 เมตร)
06 1828 4467
https://www.facebook.com/barbonbkk/

[su_gmap width=”1600″ address=”Barbon” zoom=”15″]Barbon[/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

 

O.P. Place

ศูนย์การค้าชั้นนำของไทยตั้งแต่สมัยปลายรัชกาลที่ 5

‘Asia’s Timeless Treasures’ ศูนย์การค้าที่ยังคงความสง่างามทางสถาปัตยกรรม และเอกลักษณ์ไว้อย่างไม่เสื่อมคลาย

O.P.Place ศูนย์การค้าเก่าแก่สุดหรูคู่ย่านเจริญกรุง ที่มีประวัติความป็นมาอันยาวนาน ตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สร้างขึ้นในสมัยปลายรัชกาลที่ 5 อาคารประวัติศาสตร์สไตล์นีโอคลาสสิคแห่งนี้ เริ่มเปิดให้บริการมาตั้งแต่พ.ศ. 2451 แรกเริ่มใช้ชื่อว่า Falck & Beidek หรือที่คนนิยมเรียกกันว่า ห้างสิงโต นำสินค้าจากยุโรป ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโอเรียนเต็นพลาซ่า และเปลี่ยนอีกครั้งเป็นโอเรียนเต็นเพลส มาจนชื่อ O.P.Place ที่เรียกกันอยู่ทุกวันนี้

กว่า 101 ปี ที่ O.P.Place ยังอนุรักษ์คลาสสิคไว้ได้อย่างไม่มีตกหล่น สิ่งแรกที่หลายๆคนอาจจะนึกถึงเมื่อพูดถึง O.P.Place ก็คือลิฟท์โบราณสีเขียวสไตล์ตะวันตก ที่มีลักษณะเป็นประตูเหล็กดึงได้ ในศูนย์การค้านี้ยังมีอีกหลายจุดสำคัญทางประวัติศาสตร์ ได้แก่ มุขหลังคาจั่ว 3 มุข (ทำให้ได้รับรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยาม เมื่อปี พ.ศ.2525) แชนเดอเลียร์ขนาดใหญ่บริเวณลานห้องโถงห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นหนึ่งในสองอันแรกที่มีแรกๆในเมืองไทย กระจกสีที่มีลักษณะใกล้เคียงกับอาสนวิหารอัสสัมชัญ บางรัก ซึ่งนำเข้ามาจากยุโรป

อาคารด้านในยังคงเป็นไม้ มีบันไดวน พื้นแต่ละชั้นที่ยังคงปูพรมเอาไว้ เพื่อคงความสวยงามของพื้นที่ และครั้งหนึ่งบริเวณ ห้องโถงชั้นบนเคยเป็นที่ตั้งของไดอาน่า ดิสโกเธค ดิสโก้เทคระดับไฮเอนท์ ที่มีระบบแสงเลเซอร์มาใช้เป็นครั้งแรก ได้รับความนิยมมากจนต้องจองล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ ซึ่งทุกวันนี้ได้ปรับตัวให้สอดคล้องกับยุคสมัย นอกเหนือไปจากมีร้าน Antique, Jewelry และ Contemporary Art แล้ว O.P.Place ยังอำนวยพื้นที่สำหรับแต่งงาน, ถ่ายละครหรือโฆษณา, งานแสดงศิลปะ หรือที่ล่าสุดใช้จัดแสดงงานเทศกาล Bangkok Art Bieinnale 2018 ทำให้ศูนย์การค้าชั้นนำแห่งนี้กลายเป็นอีกพื้นที่สร้างสรรค์ในย่านเจริญกรุง

และถัดจาก O.P.Place ไปไม่ไกลมีอีกอาคารประวัติศาสตร์สำคัญที่น่าสนใจไม่แพ้กัน O.P.Garden หมู่อาคาร 5 หลัง ที่เคยเป็นโพลีคลีนิคแห่งแรกของเมืองไทย โดยนายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล นักอนุรักษ์ชื่อดังของไทย ซึ่งปัจจุบันกลายเป็น Hidden Place ที่มีสวนสีเขียวเล็กๆอยู่ท่ามกลางอาคารตึกปูน มีร้างรวงงานดีไซน์ระดับมาสเตอร์พีซซ่อนอยู่ ร้านคาเฟ่ร้านอาหารบรรยากาศสงบร่มรื่น และช่วงนี้ที่ Serindia Gallery กำลังมีงานนิทรรศการ ‘Paths of the Lotus Ink’ แสดงอยู่จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ด้วย

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: 10:00-19:00 น.

Location: 30/1 ซ.เจริญกรุง 38 เขตบางรัก
Pier: ท่าเรือวัดม่วงแค (เดินต่ออีกประมาณ เมตร), ท่าเรือ
0-2266-0186
www.facebook.com/opplace.bkk/

[su_gmap width=”1600″ address=”O.P. Place” zoom=”15″]O.P. Place[/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

 

The Bamboo Bar

บาร์แจ๊ส(ชั้นนำ)แห่งแรกของประเทศไทย หรือ บาร์แจ๊สระดับตำนานของไทย ดังไกลระดับโลก

ดนตรีแจ๊สเริ่มแพร่เข้ามาในเมืองไทยช่วงปลายรัชกาลที่ 6 แผ่นเสียงเพลงแนวแจ๊สถูกเปิดในโรงแรมชั้นนำของไทย โรงแรมโอเรียลเต็ล เป็นหนึ่งในสถานที่แรกๆในเมืองไทย ที่มีดนตรีแจ๊สขับกล่อม และยังมีวงดนตรีแจ๊สเล่นสดๆตั้งแต่สามทุ่มจนถึงเที่ยงคืน

จากห้องเล็กๆที่อยู่ในออเธอรส์ วิงค์ (เริ่มเปิดบริการตั้งแต่ พ.ศ.2496) มีผู้คนที่มีชื่อเสียงจากหลากหลายประเทศ หมุนเวียนกันเดินทางมาเยือนบาร์คลาสสิคชั้นนำ และได้มีการปรับเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ในพ.ศ.2557 โดยย้ายไปอยู่ที่อาคารริเวอร์ วิงค์ ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางมากขึ้น นำไม้ไผ่มาเป็นธีมหลักในการตกแต่ง เพดานกระจกหุ้มกรอบด้วไม้ไผ่สีดำ หมอนผ้าไหมพิมพ์ลายไม้ไผ่ และเฟอร์นิเจอร์เครื่องหนังบางส่วนที่มีอยู่เดิม ก็นำมาดัดแปลงโดยอิงกับสไตล์ยุค 20S เพื่อให้ตรงกับช่วงเวลาที่ดนตรีแจ๊สถือกำเนิดขึ้น 66 ปีแล้วที่ The Bamboo Bar เป็นจุดนัดพบผู้พิสมัยในดนตรีแจ๊ส และต้องการลิ้มรสเครื่องดื่มที่มีรสสัมผัสพิเศษไม่เหมือนใคร ล่าสุดได้คว้ารางวัลบาร์ที่ดีที่สุดในประเทศไทย และติดหนึ่งในสิบของ 50 บาร์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย

‘เข็มทิศ หรือ Compass’ คอนเซ็ปต์ค็อกเทลใหม่ล่าสุดของ The Bamboo นำเสนออิสรภาพทางรสชาติที่แตกต่างกัน 5 ทิศ และยังมีวัตถุดิบหลักจาก 5 ภูมิภาคของไทย (เหนือ/กลาง/ใต้/ตะวันออกเฉียงเหนือ/ตะวันออก) โดยได้แรงบันดาลใจมาจากการเล็งเห็นวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์ และน่าสนใจ ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งทางด้านวัฒนธรรมกิน ดื่ม และการดำเนินชีวิต เกิดเป็นค็อกเทลสุดสร้างสร้าง Signature Cocktail Menu ‘Get The Motar’ หรือค็อกเทลส้มตำในครก ที่มีรสชาติจัดจ้านกลมกล่อมครบรสเอกลักษณ์อาหารอีสาน ผสมผสานวอดก้า, น้ำมะเขือเทศ, มะละกอเชื่อม, น้ำมะนาว, น้ำตาลมะพร้าว, พริก ฯลฯ

สำหรับนักร้องแจ๊สคนล่าสุดที่มาถ่ายทอดเสียงเพลงอันไพเราะให้กับ The Bamboo Bar คือ Nikki Kidd นักร้องแจ๊สชาวอเมริกัน ที่โด่งเด่นด้านแนวเพลงแจ๊สคลาสสิค และยังได้เคยร่วมงานกับศิลปินแจ๊สชื่อดังมากมายด้วย (จันทร์-พฤหัสบดี เวลา 21:00-23:45 น. และ ศุกร์-เสาร์ เวลา 21:00-24:45 น.) หลบไปผ่อนคลายความตึงเครียดจากรอบด้าน ปล่อยใจให้ลองไปกับท่วงทำนองอันแสนเย็นสบาย

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: 17:00-01:00 น. (อา-พฤ) 17:00-02:00 น. (ศ-ส)

Location: โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ซอยเจริญกรุง 40 เขตบางรัก
Pier: ท่าเรือโอเรียนเต็ล (เดินต่ออีกประมาณ 200 เมตร)
0 2659 9000 ต่อ 7690-1
https://www.facebook.com/pages/category/Bar/The-Bamboo-Bar-at-Mandarin-Oriental-Bangkok-142802672571230/

[su_gmap width=”1600″ address=”the bamboo bar” zoom=”15″]The Bamboo Bar[/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

 


Sponsored by Banyantree Residences Riverside Bangkok

วิถีชีวิตที่เงียบสงบที่ซ่อนอยู่ในเมืองใหญ่…ปล่อยความเคร่งเครียด ความวุ่นวายไหลไปกับสายน้ำ กับคอนโดมิเนียม High Rise ระดับ The Ultimate Luxury ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จะทำให้คุณต้องมนต์อันแสนสงบริมโค้งน้ำเจ้าพระยาได้ทุกๆวัน ‘บันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ’ ออกแบบภายใต้แนวคิด The Sanctuary for your soul เพื่อให้ผู้พักอาศัยได้เข้าถึงบรรยากาศของการพักผ่อนอย่างแท้จริง และมอบความเป็นส่วนตัวด้วยมีจำนวนห้องชุดเพียง 133 ยูนิตเท่านั้น และทุกห้องยังสามารถชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาแบบพาโนรามิค อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกระกับซุปเปอร์พรีเมียมครบครัน

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  banyantreeresidencesriversidebangkok.com

Magazine made for you.