Dream Homes : เคาะประตูเที่ยว บ้านสวยชวนฝันทั่วโลก

ว่ากันว่า…บ้านคือวิมาน บ้านคือที่พักใจ บ้านคือพื้นที่แห่งความสุข ที่ที่เราจะล้มตัวลงเอนกายได้อย่างสบายใจที่สุด เพราะบ้านเป็นมากกว่าบ้าน และหลายๆครั้งที่เราเฝ้าใฝ่ฝันถึงบ้านในฝัน เวลาที่เห็นบ้านสวยๆ แล้วก็วาดฝันไว้ว่าอยากจะมีแบบนี้บ้างสักหลัง บทความนี้เราจะพาคุณไปเที่ยวบ้านในฝันรอบโลกถึง 7 หลัง 7 สไตล์ ที่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แลนด์มาร์กประจำเมือง เชิญชวนให้อยากจะไปเยี่ยมด้วยตาตัวเองสักครั้งในชีวิต

The Stahl House (Case Study House #22)
บ้านที่เท่ที่สุดในแอลเอ

Dream Homes

หลายๆคนอาจจะได้เคยเห็นบ้านหลังนี้ผ่านตากันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจากนิตยสารแฟชั่นต่างๆ โฆษณา ละคร รายการทีวี ไปจนถึงภาพยนตร์อีกไม่รู้กี่สิบเรื่อง อาทิ Smog (1962), Galaxy Quest (1999) หรือที่อาจจะคุ้นกันมากหน่อยก็เป็นเรื่อง Where the truth lies (2005) แต่ละเรื่องล้วนถ่ายทำที่ The Stahl House

ส่วนสายช่างภาพ สายสถาปนิกอาจจะคุ้นเคยบ้านหลังนี้จากภาพถ่ายขาวดำของ Julius Shulman ช่างภาพสถาปัตยกรรมชาวอเมริกันที่ฝีมืออันดับต้นๆของโลก ซึ่งเป็นภาพที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นไอคอนนิกของลอสแอนเจลิส ภาพสองสาวในชุดเดรสกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างผ่อนคลาย โดยมีฉากหลังเป็นวิวพาโนราม่าเมืองลอสแอนเจลิส แม้ว่าจะบันทึกภาพมาตั้งแต่ปี 1960 ทว่ายังเป็นอมตะมาจนถึงทุกวันนี้

บ้านดีไซน์เท่ทรงตัว L หลังนี้ตั้งอยู่บน Hollywood Hills เป็นหนึ่งในโครงการ Case Study Houses ของนิตยสาร Art & Architecture ที่ได้ชักชวนสถาปนิกชื่อดังชาวอเมริกามาร่วมกันทดลองออกแบบบ้านสไตล์โมเดิร์น ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีทั้งหมด 36 หลัง

สำหรับ The Stahl House (Case Study House #22) นี้ ออกแบบโดย Pierre Koenig สถาปนิกชาวอเมริกัน สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1959 แล้วเสร็จในช่วงเดือนพฤษภาคม 1960 และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโมเดิร์นมาตั้งแต่ยุคนั้นเป็นต้นมา

จากทำเลที่ตั้งที่อยู่บนเนิน Hollywood Hills มีวิวสุดตื่นตาเป็นเมืองลอสแอนเจลิส และจากเทรนด์การก่อสร้างในลักษณะ prefabrication house ด้วยเทคโนโลยีและวัสดุสมัยใหม่ วัสดุสำเร็จรูป ซึ่งเป็นที่นิยมในแถบแคลิฟอร์เนียขณะนั้น จึงทำให้ Pierre Koenig ทดลองสร้างอาคารแบบแหวกแนวโดยใช้ กระจกและเหล็กมาเป็นวัสดุหลัก ตัวบ้านถูกหุ้มด้วยกระจกทั้งหลังตั้งแต่พื้นไล่ไปจนถึงเพดาน และมีแผ่นเหล็กลูกฟูกประกบต่อเป็นหลังคาด้านบน เมื่อมองจากด้านนอกจะเห็นเป็นบ้านกระจกใสทรงลูกบาศก์ลอยอยู่เหนือ Hollywood Hills สามารถนั่งชมวิวเมืองลอสแอนเจลิสที่ห้องนั่งเล่นได้อย่างไม่รู้เบื่อตั้งแต่เช้าจรดค่ำ


ในปี 1999 The Stahl House ได้รับการประกาศให้เป็นอนุสรณ์แห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของลอสแอนเจลิส (Los Angeles Historic-Cultural Monument) ต่อมาในปี 2007 ก็ได้ติด 1 ใน 150 ของสถาปัตยกรรมที่ชาวอเมริกันชื่นชอบ (America’s Favorite Achitecture) และในปี 2013 ได้รับให้เป็นหนึ่งในทะเบียนสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติ (National Register of Historic Places) อีกด้วย

ตรวจสอบวัน เวลา เพื่อจองล่วงหน้าก่อนไปเที่ยวได้ที่ www.stahlhouse.com

Casa Milà (La Pedrera)
บ้านสุดอลังเหนือจินตนาการกลางเมืองบาร์เซโลนา

Dream Homes

Casa Milà สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของเมืองบาร์เซโลนา ที่ใครๆ ต่างต้องยอมตีตั๋วเข้าไปชม จากหน้าตาของตัวอาคาร ดูเผินๆ แล้ว อาจจะเผลอเข้าใจผิดว่าที่นี่คือพาร์ทเมนท์เสียมากกว่า จริงๆ แล้วบ้านหลังนี้เป็นบ้านของมหาเศรษฐี Pere Milà และ Rosario Segimon

หลังจากสร้างเสร็จแล้วอาคารแห่งนี้ไม่เป็นที่ชื่นชอบของชาวเมืองสักเท่าไรนัก ด้วยรูปทรงที่แปลกประหลาด และถูกรัฐบาลต่อต้านต่างๆ นานา จนถึงปี ค.ศ.1984 กลายเป็นงานประติมากรรมสุดโดดเด่นราวกับพาเราหลุดไปอีกมิติ ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกจาก UNESCO โดยที่เป็นตึกของเอกชน มิใช่สมบัติของชาติอย่างเช่นที่อื่นๆที่ได้รับการประกาศก่อนหน้านี้

ผู้ที่เนรมิตบ้านที่มีรูปทรงสุดแหวกแนวนี้คือ Antoni Gaudí สถาปนิกสุดอัจฉริยะของโลก ที่ออกแบบสถาปัตยกรรมสุดแปลกตา สไตล์ Modernisme (Modernisme หรือศิลปะอาร์ตนูโวแบบคาตาลันซึ่งเน้นเส้นสายอ่อนช้อย ของพืชพรรณธรรมชาติ รวมถึงงานคราฟต์ท้องถิ่นต่างๆของคาตาลัน) เขาผสมผสานจินตนาการของตัวเองผนวกกับงานสถาปัตยกรรมโบราณ มาสร้างสรรค์เป็นผลงานใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สังเกตง่ายๆว่าจะเป็นรูปทรงที่มีความโค้งเว้า ลดทอนรูปทรงจากธรรมชาติ เอาไว้ทั่วเมืองบาร์เซโลนา และหนึ่งในงานขึ้นชื่อของโลก ก็คือ Sagrada Familia ซึ่งยังสร้างไม่เสร็จจนถึงทุกวันนี้

กลับมาที่ Casa Milà กันต่อ บ้านหรืออาคารหลังนี้เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของ Gaudí ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1906-1912 ถูกสร้างเป็นที่พักแบบ Private Residence และสร้างในคอนเซ็ปต์ใต้ท้องทะเล ชาวสเปนนิยมเรียกที่นี่ว่า La Pedrera ซึ่งแปลว่าเหมืองหิน จุดเด่นอยู่ที่ตัวอาคารภายนอกซึ่งดูคล้ายกับถ้ำที่ถูกเจาะให้เป็นห้องต่างๆ ผนังบ้านโค้งเป็นคลื่น ประตูทางเข้ามีลวดลายคล้ายฟองคลื่น หน้าต่างทรงไข่ เหล็กพลิ้วตามระเบียงด้านหน้าได้แรงบันดาลใจมาจากสาหร่าย ชั้นดาดฟ้าเต็มไปด้วยนานารูปปั้นรูปทรงแปลกตาบนดาดฟ้า และเป็นจุดชมวิว 360 องศายอดนิยมด้วย ซึ่ง Woody Allen ก็ได้หยิบเอาชั้นดาดฟ้าสุดมหัศจรรย์นี้ใส่ไว้ในภาพยนตร์เรื่อง Vicky Cristina Barcelona (2008) ด้วย

Painted Ladies (Seven sisters)
บ้านระดับตำนานสุดเลื่องชื่อของซานฟรานซิสโก

ในบรรดาบ้านในฝันทั้ง 7 หลัง 7 สไตล์ ‘Painted Ladies’ น่าจะเป็นบ้านที่ได้รับคำชมมากที่สุด (หรืออาจจะมากที่สุดในโลกด้วยซ้ำ) ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของซานฟรานซิสโก อีกหนึ่งเมืองในฝันของนักเดินทางทั่วโลก

ฝั่งตรงข้ามบ้าน แค่เพียงเปิดประตูเดินออกมาไม่กี่ก้าวก็เป็นสวนสาธารณะ Alamo Square Park มีฉากด้านหลังเป็นมหานครซานฟรานซิสโก ที่มีแต่ตึกอาคารยุคใหม่ เป็นความต่างที่ทำให้บ้านหลังนี้ยิ่งดูโดดเด่นยิ่งขึ้น กลายเป็นภาพแห่งความทรงจำในที่อยู่ในโปสการ์ด จนได้รับฉายาว่าคือ Postcard Row ปรากฎในฉากละคร ภาพยนตร์เรื่องต่างๆไม่ต่ำกว่า 70 เรื่อง โดยเรื่องที่หลายๆ คนต้องร้องอ๋อ… ก็คือซิทคอมชื่อดังในยุค 90 เรื่อง Fullhouse และได้ถูกนำมาทำภาคต่อในชื่อ Fuller House บน Netflix ในปี 2016

เหล่านี้ทำให้ไม่ว่าใครที่ได้เห็นบ้านเก่าแก่สุดคลาสสิคสไตล์วิคตอเรียนและเอ็ดเวิร์ดเรียนทั้ง 7 หลังหลากสีพาสเทล แสนหวานชวนฝันนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะบอกกับคนที่โชคดีที่อยู่ในบ้านในฝันหลังนี้ว่า…สวยจังเลย

สำหรับ Painted Ladies บ้านในฝันที่เป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองนี้ตั้งอยู่ในย่าน Alasmo Square นี้ได้สร้างขึ้นราวปีค.ศ.1982, ค.ศ.1986 พัฒนาดีไซน์โดย Matthew Kavanaugh ซึ่งอาศัยอยู่ไม่ไกลจากบ้าน Painted Ladies นัก บ้านอนุรักษ์หลังนี้ปัจจุบันยังมีคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน และมีหนึ่งหลังที่เปิดให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามาเปิดประสบการณ์พักอาศัย (ชั่วคราว) ด้วย ในราคาหลักหมื่นต่อคืน

Painted Ladies หรือ Seven Painted Ladies จริงแล้วคือชื่อที่เรียกบ้านสไตล์วิกตอเรียน บ้านที่มีหลังคาทรงสูง มุงด้วยแผ่นไม้ หน้าต่างตกแต่งอย่างประณีตทาด้วยสีพาสเทลหลายสี อาทิ เขียวอ่อน เหลือง ม่วง เป็นต้น มีหน้าต่างหน้าจั่วเล็กๆ มีขนาดกะทัดรัด เป็นดีไซน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งในยุคนั้นมีจำนวนมากถึง 48,000 หลัง และค่อยๆลดหายไปจากการถูกทำลายตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี 1906 จนปัจจุบันเหลืออยู่แค่เพียงหลักพันต้นๆเท่านั้น และการทาสีบ้านด้วยพาสเทลนี้ก็ยังมีที่มาที่น่าสนใจซ่อนอยู่ด้วยเช่นกัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้คนนิยมทาสีบ้านด้วยสีเทา ทำให้เมืองดูหม่นๆหมองๆ Butch Kradum อาร์ตทิสชาวซานฟรานซิสโกจึงลุกขึ้นมาทาสีบ้านด้วยสีเขียวอ่อน สีฟ้าอ่อน และตั้งแต่ยุค 70 เป็นต้นมาเทรนด์ในการทาสีบ้านจึงเป็นโทนสีอ่อน สีพาสเทลเรื่อยมา และกลายเป็นไอคอนนิกสำคัญของซานฟรานซิสโกมาจนถึงทุกวันนี้

The Hoke House
บ้านสวยกลางป่าสุดติดตาตรึงใจในพอร์ตแลนด์

หลายๆคนอาจจะคุ้นชื่อบ้านหลังนี้ว่า The Cullen House มากกว่า The Hoke House โดยเฉพาะแฟนภาพยนตร์เรื่อง Twilight เพราะบ้านหลังนี้เป็นถึงบ้านของแวมไพร์ตระกูลคัลเลน หลังจากที่ภาคแรกได้ฉายไปเมื่อ 10 ปีก่อน (2008) บ้านที่เคยสงบเงียบอยู่ในป่าก็กลายเป็นบ้านที่เหล่าแฟนๆ Twilight สนใจอยากเดินทางไปชื่นชมบ้านบนไหล่เขาของเอ็ดเวิร์ดให้ได้สักครั้ง…

ตัดกลับมาที่เจ้าของบ้านตัวจริง ของ The Hoke House กันบ้าง ไม่ต้องแปลกใจที่บ้านหลังนี้จะไม่ธรรมดาเพราะผู้ที่อาศัยอยู่จริงนั้นคือ John Hoke รองประธานฝ่ายออกแบบของ Nike ซึ่งได้ทีมออกแบบฝีมือดีของพอร์ตแลนด์ Skylab Achitecture มารับหน้าที่ดูแลให้ (และตึก Nike สำนักงานใหญ่ ที่เมืองโอเรกอนด้วย ที่จะสร้างเสร็จในปี 2019 นี้ก็ออกแบบโดยทีมนี้ด้วยเช่นกัน)

ราวปี 2012 ทีม Skylab ก็รังสรรค์บ้านกลางป่าซึ่งตั้งอยู่ใน Forest Park ป่าในเมืองขนาดใหญ่ของพอร์ตแลนด์ได้สำเร็จ ดูจากรูปทรงของบ้าน 3 ชั้น ขนาด 4,800 ตารางฟุตนี้แล้วทีม Skylab น่าจะได้รับแรงบันดาลใจในการดีไซน์มาจากบ้านต้นไม้ แล้วคลี่คลายออกมาเป็นบ้านต้นไม้สไตล์โมเดิร์นที่มีทรงเหลี่ยมสวยสง่าแปลกตา โดยใช้คอนกรีต ไม้ กระจกบานใหญ่ มาเป็นวัตถุดิบหลักประกอบขึ้นมา อีกทั้งยังใส่ใจและให้ความสำคัญกับเรื่องพื้นที่ใช้สอยเป็นอย่างมาก

พื้นที่ด้านนอกจะออกแบบให้สามารถใช้เวลาในแต่ละช่วงวัน หรือแต่ละฤดูได้อย่างสะดวกสบาย โดยรวมๆ เวลาส่วนตัวใน The Hoke House สร้างความรู้สึกสงบ และเป็นส่วนตัว ด้วยทรงเหลี่ยมๆ ที่ดูเหมือนกล่องไม้มาต่อกัน ทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้อาศัยและธรรมชาติได้อย่างดี ยังมีช่องว่างที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ ทำให้สามารถมองเห็นวิวได้โดยรอบ และเมื่อมองดูจากภายนอกก็ดูสง่าสวยแปลกตา สะกดใจ จนแทบจะเป็นอีกมาสเตอร์พีชทางสถาปัตยกรรมก็ว่าได้

Capital Hill Residence
บ้านสุดล้ำสไตล์อาวองการ์ดใกล้กรุงมอสโก

“ผมอยากตื่นมาแล้วมองเห็นแค่ท้องฟ้าสีคราม” จากบรีฟสั้นๆที่ Vladislav Doronin ผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Capital และ OKO Group และเจ้าของโรงแรมและรีสอร์ทหรูในเครือ Aman ได้บอกกับ Zaha Hadid สถาปนิกหญิงอันดับหนึ่งของโลกชาวอังกฤษ-อิรัก หลังจากฟังจบ Hadid ก็สเก็ตซ์บ้านให้เขาทันที พร้อมกับบอกว่า “เขาต้องมีบ้านที่อยู่เหนือต้นไม้แล้วล่ะ”

แน่นอนว่า Doronin ตกลงซื้อไอเดียของ Hadid สถาปนิกสไตล์ Neofuturisticในดวงใจที่เขาตั้งใจให้เธอมาเป็นผู้ออกแบบบ้านพักส่วนตัว ซึ่งตั้งอยู่บนไหล่เขาทางตอนเหนือในป่า Barvikha ใกล้กับกรุงมอสโก พื้นที่ตรงนั้นรายล้อมด้วยต้นไม้สูงนับ 20 เมตร และแน่นอนว่าบ้านที่เธอจะสร้างนั้นต้องสูงกว่าเพื่อให้เงาไม้จากต้นสนไม่มากวนสายตายามเจ้าของบ้านตื่นนอน

จากปี 2006 ที่เริ่มดีไซน์ จนเคาะได้เป็นแบบร่างที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภูมิทัศน์รอบๆ ผสมรูปทรงเรขาคณิตในการสร้างฟอร์มเข้ากับรูปทรงชีวภาพกลมกลืนกับธรรมชาติ นำมาก่อสร้างตั้งแต่ปี 2011 Capital Hill Residence ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่าง จนกลายเป็นบ้านพักส่วนตัวสไตล์อาวองการ์ด ที่ดูเหมือนยานอวกาศยิ่งนัก มีส่วนที่ขนานยาวไปกับแนวภูมิทัศน์ของป่า และตัวอาคารลักษณะแท่งคอนกรีตที่สูงไปบนท้องฟ้าถึง 22 เมตร (สมแล้วที่เธอผู้หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัล The Pritzker Architecture Prize หรือรางวัลโนเบลในสายสถาปนิก) ภายในบ้านมีห้องนอน ห้องนั่งเล่นจำนวนมาก และยังมีชั้นใต้ดินทำเป็นห้องซาวน่าแบบรัสเซีย ห้องออกกำลังกาย เป็นต้น

น่าเสียดาย Hadid ไม่ได้อยู่จนจบงานบ้านหลังนี้ เธอได้เสียชีวิตลงในปี 2016 และทำให้ Capital Hill Residence กลายเป็นอาคารที่อยู่อาศัยเพียงหลังเดียว และยังเป็นหลังแรกที่ Zaha Hadid ราชินีแห่งอาคารรูปโค้งเป็นผู้ออกแบบ ทุกๆงานออกแบบของเธอมีทั้งความแปลกใหม่ ล้ำยุค ตื่นตาตื่นใจ และกลายเป็นอีกผลงานชิ้นเอกของโลก

Kusu Kusu Tree House
ที่สุดของบ้านต้นไม้ในฝัน ณ ประเทศญี่ปุ่น

เชื่อว่า….บ้านต้นไม้ต้องเป็นบ้านในฝันตอนเด็กๆของหลายต่อหลายคน จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังคงเก็บฝันนั้นเอาไว้อยู่เสมอ บ้านต้นไม้ต้นนี้ไม่ใช้บ้านต้นไม้ทั่วๆไป ทว่าเป็นบ้านต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น สร้างขึ้นโดย Takashi Kobayashi ปรมจารย์บ้านต้นไม้ ที่ได้สร้างบ้านต้นไม้มาแล้วกว่า 120 หลังโดยได้ร่วมมือกับ Hiroshi Nakamura จาก NAP Architects

สำหรับบ้านต้นไม้ในฝันหลังนี้มีชื่อว่า Kusu Kusu ซึ่งสร้างให้กับรีสอร์ต Risonare เมืองอะตะมิ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดชิซุโอะกะ เป็นบ้านต้นไม้ที่อยู่บนต้นการบูรเก่าแก่อายุกว่า 300 ปี และสูงกว่า 22 เมตร ด้วยต้นไม้ที่มีขนาดสูง ใหญ่ และมีอายุมากจึงกลายเป็นความท้าทายอย่างมากของผู้ออกแบบเพื่อให้ออกมาสวยด้วย และปลอดภัยด้วย เจอแผ่นดินไหว หิมะถล่มก็ยังคงดำรงอยู่เป็นบ้านอย่างไม่มีเสียหาย จึงได้มีการนำเทคโนโลยี 3D Printing เข้ามาใช้ด้วย

สำหรับคอนเซ็ปต์ของบ้านต้นไม้หลังนี้คือ ‘รัง’ ที่ที่ให้ความรู้สึกได้ถึงการย้อนกลับไปในวัยแรกเกิดและเติบโต และให้ธรรมชาติโอบล้อมอย่างสงบสุข สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2014 มีทางเดินยาวที่ให้ได้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนอากาศ ที่นำสู่บ้านหลังน้อยที่สูงขึ้นไป 9 เมตรจากพื้นดิน ที่ตกแต่งได้ทั้งน่ารักและร่มรื่นกลมกลืนกับบรรยากาศแวดล้อมเป็นอย่างดี บ้านหลังนี้จึงดึงดูดให้คนที่รักบ้านต้นไม้เดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อนที่นี่ เพื่อสัมผัสประสบการณ์บ้านในฝันบนต้นไม้กันสักครั้ง คิดจะพัก คลิก… https://risonare.com/atami/en/kusukusu/

Gehry House
บ้านสุดเก๋ในแคลิฟอร์เนียโดยศิลปินสุดเก๋าของโลก

ดูบ้านที่สถาปนิกสร้างให้คนอื่นได้อยู่อาศัยกันมาหลายหลังแล้ว คราวนี้มาดูบ้านของสถาปนิก ที่กลายเป็นบ้านในฝันของคนที่อยากมีบ้านเก๋ไม่ซ้ำใครกันบ้าง บ้านหลังนี้เป็นของ Frank Gehry สถาปนิกชาวแคนาดา-อเมริกันที่ครีเอตงานสถาปัตยกรรมสไตล์ร่วมสมัย ทั้งพิพิธภัณฑ์ สถานที่ท่องเที่ยว อาคารที่พักอาศัย หนึ่งในงานสร้างชื่อ(มากๆ)ของเขาคือ Guggenheim Museum พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยและสมัยใหม่ ในเมืองบิลเบา ประเทศสเปน ปรมาจารย์ด้านสถาปัตยกรรมผู้นี้ปัจจุบันมีอายุ 89 ปีแล้ว และในปี ค.ศ. 2010 เขาได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Vinity Fair ว่าเป็นสถาปนิกคนสำคัญที่สุดของโลกแห่งยุคปัจจุบัน

เดิมบ้านหลังนี้เป็นบ้านบังกะโลสีชมพู ซึ่ง Gehry ได้ซื้อไว้ในปี ค.ศ.1970 ด้วยเขาชอบทดลองวัสดุ และการออกแบบใหม่ๆ อยู่เสมอ การรีโนเวตบ้านของตัวเองจึงเป็นการทดลองที่เขาทุ่มเทและสร้างสรรค์ไม่น้อยไปกว่าบ้านที่เขาทำให้ลูกค้า และเขาก็เริ่มล้อมรอบบังกะโลด้วยการนำสังกะสีมาทำเป็น Facade (วัสดุสำหรับห่อหุ้มบ้านหรืออาคาร) ใช้ไม้อัด และวัสดุที่มีราคาถูกเนื่องจากเขาต้องขอยืมเงินเพื่อนมาใช้ในการรีโนเวตบ้าน

ราว ค.ศ.1978 จากบังกะโลสีชมพูกลายเป็นบังกะโลสังกะสี และติดตั้งสกายไลท์รูปทรงเรขาคณิต กลายเป็นอีกงานสถาปัตยกรรมแนวใหม่ อยู่ในเมือง Santa Monica แคลิฟอร์เนีย และยังต่อยอดให้เขากลายเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงผู้สร้าง Disney Concert Hall และ Guggenheim Bilbao และกลายเป็นลายเซ็นต์เฉพาะตัวของเขาไปแล้ว และทุกวันนี้เวลาที่ใครเดินผ่านบ้านบังกะโลสังกะสีหลังนี้เป็นต้องถ่ายภาพแล้วแชร์ลงในโซเชียล ไม่เชื่อลองเข้าไปดูในอินสตาแกรมดูสิ

แล้วบ้านในฝันของคุณล่ะ…เป็นแบบไหน


Sponsored by
Pruksa ใส่ใจ…เพื่อทั้งชีวิตของคุณและครอบครัว

ในการสร้างบ้านในฝันให้เป็นจริง นอกจากคำนึงถึงเรื่องคุณภาพแล้ว ยังต้องใส่ใจในรายละเอียดด้วย… พฤกษาเข้าใจจึงใส่ใจในรายละเอียดต่างๆเพื่อประกอบให้ทุกพื้นที่ในบ้าน สวยสมใจดั่งภาพในฝันของคุณ ไม่เพียงแค่บ้านทุกหลังต้องมีรากฐานและโครงสร้างที่แข็งแรง ปลอดภัยเท่านั้นพฤกษายังได้นำนวัตกรรมการก่อสร้างเข้ามาใช้เพื่อให้ได้มาตรฐานระดับโลก สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่

ด้วยระบบ Pruksa Home Automation & Security System ให้คุณสะดวกสบายเพียงปลายนิ้วสัมผัส พร้อมกันนั้นยังออกแบบสังคมคุณภาพเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ อาทิ Solar Cell, Bike Lane, Jogging Track, CCTV เป็นต้น เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความเอาใจใส่ ความห่วงใยที่พฤกษาใส่ใจ เพื่อมอบบ้านในฝันที่ดีที่สุดให้กับคุณ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1739 หรือ pruksa.com

Magazine made for you.