เลิกงานแล้วไปไหน? After Hours สวนพลู-สาทร

เลิกงานแล้วไปไหนดี ?

คำถามที่ทุกคนคงต้องเคยถามหรือถูกถาม เมื่อนาฬิกาบอกเวลาเริ่มต้นชั่วโมงส่วนตัวหลังเลิกงาน จนนั่งไม่ติดอยากปิดคอมทะยานร่างออกจากออฟฟิศเสียให้ได้

ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าและจังหวะชีวิตที่เร่งด่วนในเขตธุรกิจใหญ่ใจกลางมหานครอย่างสาทร ที่มีร้านรวงเล็กใหญ่มากมายให้เลือกไปใช้เวลาหลักเลิกงานกินดื่มผ่อนคลายได้ในหลายบรรยากาศ บริเวณ ‘ซอยสวนพลู’ หรือ ซอยสาทร 3 ถือเป็นหนึ่งในย่านมากเสน่ห์ มีทั้งความเรียบง่ายแบบชุมชนและความทันสมัยแบบเมืองอยู่ในย่านเดียว

แหล่งแฮงเอาท์ของคนรักเนื้อ
ARNO’S SUANPLU

ใครอยากแฮงค์เอาท์แบบหนักท้อง แถมอร่อยจนน้ำตาริน เราขอแนะนำร้านนี้ เพราะนี่คือหนึ่งในร้านเนื้ออร่อยเด็ดของกรุงเทพฯ ที่ใครก็ยกนิ้วให้ ถึงแม้ว่าร้านนี้จะเปิดมาได้ไม่นานนัก แต่คุณภาพเนื้อตลอดจนถึงเรื่องราวชื่อเสียงของ Butcher ทำให้ ARNO’S ก้าวขึ้นมาเป็นร้านเนื้อแถวหน้าที่คนรักเนื้อต้องมาลองได้ไม่ยาก

ARNO’S สาขาดั้งเดิมนั้นอยู่ที่ซอยนราธิวาส 20 เดิมทีร้านนี้ต้องการแค่เปิดเป็นร้านขายเนื้อเท่านั้น และมีพื้นที่เล็กๆ ให้คนลองชิมเนื้อย่างก่อนตัดสินใจซื้อ แต่ด้วยคุณภาพและความอร่อยกลายเป็นว่ามีคนมาต่อแถวเข้าคิวอยากลองเนื้ออร่อยกันเพียบ นั่นจึงเป็นที่มาของการขยับขยายกลายเป็นร้านอาหารเล็กๆ ในเวลาต่อมา

สำหรับ ARNO’S SUANPLU ที่ซอยสวนพลูนี้เป็นสาขาที่สอง เห็นชื่อร้านคงเดาไม่ยากว่าร้านนี้เป็นร้านเนื้อของ อาโนด์ คาร์เร่ (Arnaud Carre) บุชเชอร์ชาวฝรั่งเศสจากแคว้น Brittany ที่เติบโตในตระกูลพ่อค้าเนื้อเก่าแก่โดยเขาถือเป็นทายาทรุ่นที่ 5 ที่สืบทอดกรรมวิธี French Butchering แบบฝรั่งเศสดั้งเดิมของตระกูล ตัวอาโนด์ในสมัยหนุ่มนั้นยังเคยเปิดร้าน The French Butcher ในนิวยอร์ก ที่โด่งดังในระดับ The New York Times เคยหยิบไปเขียนถึงเลยทีเดียว ซึ่งอาโนด์นั้นได้รู้จักกับ คุณศุภนิจ จัยวัฒน์ ที่ครอบครัวทำกิจการร้านอาหาร “ออมทอง” เก่าแก่มีชื่อเสียงในย่านสีลม หลังจากนั้นจึงชวนกันเปิดร้านขายเนื้อแห่งนี้ขึ้นมานั่นเอง

แน่นอนว่าจุดเด่นของร้านนี้ก็คือเรื่องเนื้อ อาโนด์พิถีพิถันตั้งแต่การคัดเกรดไปจนถึงการเฉือนเนื้อ และเคล็ดลับเฉพาะตัวอีกอย่างก็คือการประดิษฐ์ห้องเย็นในการเก็บรักษาเนื้อแบบไม่ใช่วิธีแช่แข็งซึ่งมันจะทำให้รักษาสภาพเนื้อได้ดีกว่าและคงรสชาติความอร่อยได้อย่างยอดเยี่ยมด้วย

สาขาสวนพลูเป็นสาขาเดียวที่มีโปรโมชั่นบุฟเฟ่* อันเลื่องลือ (1 Main Course + 20 รายการอาหารทานฟรีแบบไม่อั้น ภายใน 2 ชม.) ด้วย ทีเด็ดของร้านคงหนีไม่พ้นเนื้อย่างซึ่งเราสามารถเดินไปเลือกเนื้อที่ตู้ขายได้ด้วยตัวเอง (เลือกประเภทและราคาได้ตามต้องการ) โดยเนื้อที่นี่จะเป็นเนื้อแบบ Dry Aged ที่บ่มตั้งแต่ 45 วัน ไปจนถึง 100 วัน แต่ที่พิเศษสุดๆ เห็นจะเป็นเนื้อในหมวด CHEF ARNAUD SELECTION ที่อาโนด์คัดสรรค์เองแล้วนำไปบ่มแบบ Dry Age ถึง 120 วัน เลยทีเดียว การบ่มเนื้อนั้นจะทำให้ขุดรสชาติเนื้อแท้ๆ ไปจนถึงกลิ่นของเนื้อออกมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากเนื้อย่างอีกเมนูเด็ดของที่นี่ต้องยกให้ Burgers แบบ New York Style ซึ่งทำขนมปังโฮมเมดด้วยตัวเอง เนื้อสับจะถูกหมักและย่างจนหอมกรุ่น อร่อยเต็มคำเลยทีเดียวล่ะ อีกเมนูที่ใครมาก็ต้องลองนั้นก็คือ Arno’s Mixed Salad ซึ่งเป็นสลัดรวมสไตล์อาโนราดด้วยน้ำสลัดแบบซอสบัลสามิกที่มีรสชาติเฉพาะตัว เข้ากับเมนูเนื้อได้ดีสุดๆ

*หมายเหตุ : โปรโมชั่นบุฟเฟ่เป็นการทำร่วมกับ Hungry Hub จะต้องจองผ่านเว็บไซต์ของ Hungry Hub เท่านั้น และโปรโมชั่นนี้อาจมีเฉพาะบางช่วงเวลา โปรดเช็ครายละเอียด ณ ช่วงเวลานั้นๆ อีกครั้ง

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: ทุกวัน 11.00-23.00 น.
Location:
186-190 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ
02-286-3008
www.facebook.com/arnos.suanplu
[su_gmap width=”1600″ address=”ARNO’S SUANPLU”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

ย้อนเวลาไปกับตำรับไทยโบราณ
Celadon (ศิลาดล)

บรรยากาศยามเย็นของศาลาไทยประยุกต์ที่ตั้งอยู่ริมสระบัวนั้นโรแมนติกอย่าบอกใคร แทบไม่น่าเชื่อว่าความสงบท่ามกลางบรรยากาศดีๆ นี้จะอยู่ถัดจากถนนที่แสนวุ่นวายเพียงไม่กี่ก้าว

Celadon หรือ ศิลาดล เป็นร้านอาหารไทยตำรับดั้งเดิมที่อยู่คู่โรงแรมสุโขทัย (The Sukhothai Bangkok) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2534 โดยมีผู้ดูแลความอร่อยก็คือ เชฟริน-รสริน ศรีประทุม ที่มุ่งมั่นสืบทอดตำรับไทยโบราณเอาไว้ให้คนยุคปัจจุบันได้ลิ้มลอง ส่วนชื่อ ‘ศิลาดล’ เป็นชื่อของเครื่องปั้นดินเผาโบราณ ซึ่งสุโขทัยเองเป็นแหล่งผลิตศิลาดลแห่งสำคัญที่เลื่องลือในอดีต แน่นอนว่าภาชนะส่วนหนึ่งที่ใช้เสิร์ฟนั้นเป็นเคลื่องเคลือบศิลาดลที่ช่วยสร้างคุณค่าตำรับไทยโบราณได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

ตำรับที่แนะนำให้ลองชิมนี้ถือว่าหาทานได้ยากในเมืองกรุง เช่น แกงจาวตาลปลาหิมะ ที่หยิบเอาตำรับท้องถิ่นโบราณของเพชบุรีมาปรับให้เป็นสูตรเฉพาะตัว และเลือกใช้เนื้อตาลที่หวานกำลังเหมาะจากเมืองเพชรฯ เท่านั้น หรือหมี่กรอบทรงเครื่องกุ้ง ที่เป็นหมี่กรอบสูตรโบราณ เคล็ดลับเด็ดอยู่ตรงน้ำส้มสายชูที่หมักจากดอกมะพร้าวตามธรรมชาติ ให้รสเปรี้ยวกลมกล่อมกลิ่นหอม ส่วนทีเด็ดของตำรับหวานต้องยกให้ บัวลอยไข่เค็มในมะพร้าวอ่อน ที่สูตรดั้งเดิมต้องเป็นแป้งปั้นกลมเม็ดเล็กเพื่อให้กระทิซึมเข้าสู่เนื้อแป้งได้ และกะทิรวมถึงลูกมะพร้าวที่บรรจุบัวลอยนั้นจะคัดสรรเฉพาะมะพร้าวจากสามพรานเท่านั้น ซึ่งเป็นแหล่งปลูกมะพร้าวน้ำหอมที่ดีที่สุดของเมืองไทย

อาหารที่ศิลาดลนั้น นอกจากจะเป็นตำรับไทยที่เน้นรสชาติดั้งเดิมแล้ว สิ่งสำคัญที่ถูกใส่ใจเป็นอย่างมากก็คือเรื่องของวัตถุดิบ โดยผักผลไม้ที่จะเลือกใช้ผลผลิตเกษตรอินทรีย์เท่านั้น แถมด้านหลังร้านยังปลูกสวนสมุนไพรและพืชผักต่างๆ ในระบบออร์แกนิกไว้เป็นวัตถุดิบของตัวเองอีกด้วย ความใส่ใจในทุกขั้นตอนของการปรุงตำรับไทยนี้ทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม Celadon ถึงได้รับรางวัลการันตีมากมาย รวมถึงการถูกคัดเลือกให้อยู่ในลิสต์ Michelin Guide Bangkok 2018 ในระดับ The Plate ที่เป็นร้านอาหารคุณภาพเยี่ยม ปรุงอย่างพิถีพิถัน มีรสชาติเฉพาะตัวอีกด้วย

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: ทุกวัน / มื้อกลางวัน 12.00-15.00 น. / มื้อค่ำ 18.00-23.30 น.
Location:
The Sukhothai Bangkok 13/3 ถ.สาทรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ
02-344-8888
www.sukhothai.com
[su_gmap width=”1600″ address=”The Sukhothai Bangkok”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

บรรยากาศใหม่ในเรือนไม้เก่า
AKART Bistro & Bar

ด้วยความที่หยิบบ้านเก่าเอามารีโนเวทใหม่ในสไตล์ modern rustic บรรยากาศยามเย็นที่นี่จึงมีเสน่ห์ไม่แพ้ที่ไหน และให้ความรู้สึกคล้ายได้แวะมาทานข้าวที่บ้านเพื่อนเป็นที่สุด ตัวร้านนั้นตั้งอยู่บริเวณเวิ้ง Yarden Yenakart ที่มีร้านเก๋ๆ เท่ๆ มารวมตัวกันพอหอมปากหอมคอ เอกลักษณ์ของเวิ้งนี้ก็คือการหยิบเอาเรือนไม้เก่าแก่ของหม่อมเจ้าหญิงโอภาสจรัสพักตร์พิมล นันทวัน ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์วิกตอเรียอายุกว่า 90 ปี มาแปลงโฉมใหม่แต่คงโครงสร้างรวมถึงรายละเอียดบางส่วนของอาคารเดิมไว้


ในส่วนของ AKART Bistro & Bar นั้นเจ้าของก็คือ คุณเก๋-ญาณี องค์วัฒนกุล และ คุณต้า-ศักดา บุญกิตติพร ที่นอกจากจะควบคุมดูแลสไตล์ร้านแล้ว ก็ยังลงมาดูสูตรความอร่อยด้วยตัวเองด้วย และด้วยความที่เป็นคนชอบทานอาหารไทยฝีมือคุณยายมาตั้งแต่เด็ก ขณะเดียวกันก็ชอบทำอาหารอิตาเลียนด้วย คุณเก๋จึงตั้งใจเสิร์ฟความอร่อยทั้งตำรับไทยและตำรับอิตาเลียนไปพร้อมกัน แต่อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นอาหารแบบ Fusion Food เพราะทั้งสองตำรับแยกครัวกันชัดเจน แล้วที่นี่ก็ต้องการเน้นรสชาติไปจนถึงสูตรดั้งเดิมของทั้งสองไว้ด้วย

เมนูอร่อยมีให้เลือกมากมายแต่ที่เป็นเอกลักษณ์เด่นเลยเห็นจะเป็นเมนูตระกูลสีม่วงทั้งหลายที่มีอัญชันเป็นส่วนผสม เริ่มตั้งแต่เมนูเด็ดที่ใครมาก็ไม่พลาดอย่าง ยำวุ้นเส้นอากาศอัญชันทะเล ซึ่งนำวุ้นเว้นไปคลุกกับน้ำยำผสมดอกอัญชันให้มีสีแปลกตา นี่เป็นสูตรยำโบราณดั้งเดิมของคุณยายที่นำมาให้ลองชิมตำรับในครอบครัวกัน อีกเมนูก็คือ ข้าวยำอากาศ สูตรปักษ์ใต้ที่ข้าวนั้นหุงด้วยน้ำอัญชันให้ออกมามีสีม่วง จัดสำรับมากับเครื่องเคียงหลายอย่างพร้อมน้ำบูดูสูตรอร่อยที่คลุกเคล้าให้ข้าวยำลงตัว ด้านขนมหวานที่เด็ดและโดดเด่นต้องยกให้ AKART Homemade Crepe ที่ผสมแป้งกับน้ำคั้นดอกอัญชันนำมาทำเครปสีสันสวยสะดุดตา ไส้ด้านในเป็นครีมมะพร้าวอร่อนผสมกล้วยให้รสชาติอร่อยกลมกล่อม ในส่วนของเครื่องดื่มนั้นไม่ยกให้เมนูนี้คงไม่ได้ AKART Cotton Candy ที่สะดุดตาตั้งแต่การออกแบบเครื่องดื่มไปจนถึงรสชาติที่เป็นการนำชาไทยและชามาเลย์มาผสมกัน โปะด้านบนด้วยสายไหมฟูฟ่องที่แซมดอกเข็มได้อย่างน่ารัก

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: ทุกวัน 10.30-22.30 น.
Location:
30 ถ.เย็นอากาศ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ
02-249-0182
www.akartbistro.com
[su_gmap width=”1600″ address=”akart bistro”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

เพลินลิ้นเพลินตากับศิลปะไทยเดิม
Baan Khanitha & Gallery

ร้านดั้งเดิมจริงๆ นั้นอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 23 เปิดบริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2536 ส่วนสาขาสาทร (ปากซอยสวนพลู) นี้เป็นสาขาที่สองนั้นก็อยู่มานานไม่แพ้กัน ร้านนี้เริ่มต้นขึ้นโดย คุณขนิษฐา อัครนิธิกุล อดีตแฟชั่นดีไซน์เนอร์ผ้าไหมไทยผู้มีชื่อเสียงที่นำความรู้ตำรับอาหารไทยโบราณมาพัฒนาเป็นสูตรเฉพาะของตัวเอง ความโดดเด่นของสาขาสาทรนี้ก็คือคอนเซ็ปต์ Dining & Galley ที่ตกแต่งร้านแบบไทยโบราณผสมผสานงานศิลปะที่จัดแสดงอยู่โดยรอบซึ่งเป็นฝีมือของจิตรกรไทยล้วนๆ ให้อารมณ์เหมือนทานอาหารใน Art Gallery ย่อมๆ เลยทีเดียว

ตำรับอาหารไทยของที่นี่มีเอกลักษณ์ของรสชาติที่ไม่เหมือนที่ไหน ความอร่อยและคุณภาพของตำรับบ้านขนิษฐานั้นมีรางวัลการันตีมากมายทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ แล้วที่นี่ก็ยังเสิร์ฟอาหารเพื่อสุขภาพที่ปรุงจากวัตถุดิบออร์แกนนิกแทบทั้งสิ้นด้วย โดยเครื่องแกงนั้นทำสดใหม่ทุกวันด้วยตัวเอง แถมยังไม่ใช้สารเคมีใดๆ ในการปรุง จานเด็ดที่แนะนำให้ลองนั้นก็คือ ยำส้มโอ ที่เป็นเสมือน Signature Dish ของที่นี่เลยก็ว่าได้

กุ้งอยุธยาผัดทรงเครื่อง ที่ใช้กุ้งแม่น้ำตัวโตจากฟาร์มกุ้งของตัวเองที่อยุธยามาผัดกับเครื่องแกงสูตรเฉพาะตัว น้ำพริกกุ้งเผาผักสด ที่นอกจากจะใช้กุ้งเนื้อหวานมาตำกับพริกสดใหม่แล้ว ผักแกล้มออร์แกนิกสดๆ นี่แหละที่ช่วยให้ทานอาหารอร่อยขึ้น แกงคั่วใบชะคราม ตำรับหาทานยากที่ใช้ใบชะครามมาคั่วกับเครื่องแกงและกะทิคั้นสดให้ออกมาเป็นแกงเผ็ดรสเด็ด เคล็บลับสำคัญของความอร่อยอีกอย่างนั้นก็คือวัตถุดิบ ซึ่งผักผลไม้ทั้งหมดที่ใช้ในร้านนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผลิตผลเกษตรอินทรีย์จาก “บ้านพนาลัย” ซึ่งเป็น Organic Farm บริเวณเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ของทางร้านดูแลเอง และจัดส่งความสดใหม่ถึงร้านทุกวัน

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: ทุกวัน 11.00-23.00 น.
Location:
69 ถ.สาทรใต้ เขตสาทร กรุงเทพฯ
02-675-4200-1
www.baan-khanitha.com
[su_gmap width=”1600″ address=”Baan Khanitha & gallery”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

ปริ่มสุขในบาร์เล็กรสเข็ดฟัน
PrumPlum Umeshu Bar & Bistro

บางคนชอบปาร์ตี้ในบาร์ใหญ่บรรยากาศคึกคัก แต่บางคนก็ชอบปลีกตัวเลือกเสพความสุขในบาร์เล็กๆ แต่อบอุ่น ซึ่งถ้าใครชอบอย่างหลังเราขอแนะนำบาร์เล็กๆ แต่มีเสน่ห์แห่งนี้ ชื่อร้านนั้นบ่งบอกประเภทของเครื่องดื่มได้ชัดเจนพอสมควร ใครที่ชอบดริงค์รสเปรี้ยวๆ หวานๆ คงจะมีเหล้าบ๊วยเป็นเครื่องดื่มในใจกันทุกคน ซึ่ง เหล้าบ๊วย หรือ Umeshu จากญี่ปุ่นก็เพิ่งจะเริ่มเป็นที่รู้จักและบูมในเมืองไทยมาไม่นานนี้เอง ถึงแม้จะหากินเหล้าบ๊วยได้ไม่ยากแล้วในยุคนี้ แต่การหาบาร์ที่โฟกัสเฉพาะเหล้าบ๊วยนั้นก็ยังคงเป็นเรื่องยากอยู่

คนไทยมักจะยังไม่ค่อยรู้ว่าจริงๆ แล้วเหล้าบ๊วยก็มีหลากหลายประเภทไม่แพ้เหล้าชนิดไหนๆ นั่นเป็นที่มาหนึ่งของการตัดสินใจเปิด Umeshu Bar บาร์ที่โฟกัสเครื่องดื่มประเภทนี้โดยเฉพาะ บาร์ไซส์เล็กแต่บรรยากาศชวนสนุกนี้เริ่มต้นขึ้นด้วยเหตุผลว่า “ก็แค่อยากกินสิ่งที่ชอบ” นั่นเลยทำให้สองเพื่อนซี้อย่าง แฮม–อนาวิล เจียมประเสริฐ และ เทพ–ภาสกร แสงรักษาเกียรติ ที่หลงใหลในรสชาติของเหล้าบ๊วยตั้งบาร์นี้ขึ้น จากความชอบนำไปสู่การเสาะหาเหล้าบ๊วยดีๆ ในญี่ปุ่นกิน การได้เจอแหล่งเหล้าบ๊วยชั้นดีของญี่ปุ่นมากมาย ประกอบกับเริ่มรู้จักคนญี่ปุ่นที่ทำเหล้าบ๊วยมากขึ้นทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจร่วมมือกันเปิดบาร์อย่างเป็นจริงเป็นจัง และคัดสรรเหล้าบ๊วยเข้ามาเสิร์ฟในร้านด้วยตัวเอง

ภายในร้านมีเหล้าบ๊วยให้เลือกกว่า 80 ชนิด นำเข้ามาจากญี่ปุ่นแทบทั้งสิ้น มีตั้งแต่เบสโชจู เบสสาเก ไปจนถึงเบสวิสกี้ แล้วก็ยังมีการครีเอท Umeshu Cocktail ที่ใช้เหล้าบ๊วยเป็นวัตถุดิบตั้งต้นหลักอีกด้วย เราถามถึงเหล้าบ๊วยที่มีทีเด็ดน่าสนใจ หนึ่งในสูตรอร่อยที่อยากแนะนำนั้นก็คือเหล้าบ๊วยของ PLUMITY ซึ่งเจ้าของเป็นคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ที่กระโดดมาคลุกคลีเหล้าบ๊วยอย่างจริงจัง ตั้งแต่การปลูกบ๊วยพันธุ์พิเศษเองไปจนถึงคิดค้นสูตรเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเหล้าบ๊วยนี้มาจาก จังหวัดวากายาม่า (Wakayama) แถบตอนใต้ที่ปลูกบ๊วยได้ดี การที่ได้เหล้าชนิดนี้เข้ามาขายในร้านก็เป็นเรื่องพรหมลิขิต เพราะเจ้าชาวญี่ปุ่นมาเที่ยวเมืองไทยแล้วอ่านเจอใน Magazine ญี่ปุ่นฉบับหนึ่งที่แนะนำร้านนี้เอาไว้ เขาก็เลยแวะมาลองชิมดู จากนั้นก็กลายเป็นเพื่อนและหนึ่งในซับพลายเออร์สำคัญของร้านไปในทันที

นอกจากเหล้าบ๊วยญี่ปุ่นแล้วถ้าใครอยากจะลองสูตรเด็กฉบับโลคัลบ้างต้องลองชิม PrumPlum Special Blend ซึ่งนี่คือสูตรอร่อยที่ทางร้านคิดค้นขึ้นเอง เป็น Umeshu สัญชาติไทยที่รสชาติเยี่ยมทีเดียว ส่วนใครที่นึกอยากลองชิมแบบหลายๆ สูตรพร้อมกันแนะนำให้ลองสั่งเป็น Tasting Set ดูซึ่งจะมีเสิร์ฟแบบ 3 แก้ว ที่เป็นการจัดเซ็ตแนะนำเหล้าบ๊วยรูปแบบต่างๆ กันตามที่เราอยากดื่ม และแบบ Set of the month ซึ่งจะเป็นเซ็ต 5 แก้วที่ชุดนี้จะพิเศษหน่อยตรงที่เครื่องดื่มจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่ซ้ำในแต่ละเดือน แถมเหล้าบ๊วยในเซ็ตพิเศษนี้ก็จะไม่ใช่เหล้าบ๊วยที่มีจำหน่ายปกติในร้านด้วย แต่จะเป็นการทดลองนำเหล้าบ๊วยสูตรน่าสนใจใหม่ๆ มาทดลองให้ได้ชิมกัน

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: อังคาร-อาทิตย์ 18.00-24.00 น. / หยุดวันจันทร์
Location:
35/2 ซ.ศรีบำเพ็ญ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ
02-249-3146
www.facebook.com/prumplum.umeshu
[su_gmap width=”1600″ address=”PrumPlum Umeshu Bar & Bistro”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

ชั่วโมงต้องมนต์บนตึกระฟ้า
Vertigo Too

หนึ่งใน Rooftop Bar ชื่อดังของมหานครกรุงเทพที่ติดอันดับบาร์อันดับต้นๆ ของโลกก็คือ Vertigo บนชั้น 61 ของโรงแรม Banyan Tree Bangkok แต่ความลับในมุมใต้หลังคาที่บางคนอาจยังไม่ค่อยรู้กันเท่าไหร่ก็คือ Vertigo TOO บาร์สุดเอกซ์คลูซีฟบนชั้น 60 ที่ทั้งโรแมนติกทั้งคึกคักชวนขยับแข้งขยับขา

Vertigo TOO เป็น Indoor Bar ภายใต้หลังคาโค้งเพดานสูงอันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของโรงแรม Banyan Tree Bangkok ภายในบาร์นี้ตกแต่งแบบ Modern Metropolitan Style ที่หรูหราและเท่ในตัว ความพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่อีกอย่างก็คือไฟระยิบระยับบนเพดานที่ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งดื่มท่ามกลางหมู่ดาวบนฟ้า สร้างความโรแมนติกที่พิเศษอย่าบอกใคร จุดเด่นของบาร์บนตึกสูงอีกอย่างก็คือการเห็นวิวเมืองกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งที่ Vertigo TOO ก็มีมุมให้เรานั่งชิลล์พร้อมชมวิวกรุงเทพฯ ยามค่ำที่สวยไม่แพ้เมืองไหนในโลกด้วย สิ่งที่ช่วยสร้างบรรยากาศคึกคักให้ที่นี่ได้อย่างดีก็คือดีเจเปิดแผ่นระดับเซียนที่จะหมุนเวียนผัดเปลี่ยนกันมาสร้างสีสันไม่ซ้ำ ใครที่อยากแฮงค์เอาท์แบบขยับร่างกายไปพร้อมดนตรีมันส์นี่ห้ามพลาดกันเลยล่ะ

เมนูของที่นี่เป็นสไตล์ Western and Asia Tapas ที่ได้เชฟฝีมือระดับสากลมาดูแล เมนูน่าลองก็อย่างเช่น Tom Yum Spring Rolls ที่เป็นปอเปี๊ยะใส้ต้มยำกุ้งลายเสือจัดจ้านไม่เหมือนใคร อีกเมนูน่าสนใจก็คือ Jasmine Tea Smoked Lamb ที่เป็นเนื้อแกะรมควันเสิร์ฟมาพร้อมฝาแก้วอบควันไว้ภายในด้วย ทานคู่กับมันบดสูตรอร่อยของทางร้าน มาแฮงค์เอาท์กันทั้งทีก็ต้องลองเครื่องดื่มทีเด็ดซึ่งที่นี่ได้ Mixologist ฝีมือดีอย่าง Mitchell Kai Lum มาช่วยครีเอทค็อกเทลเจ๋งๆ ให้ โดยเฉพาะ Sangria Lovers ที่คนชอบเครื่องดื่มประเภทนี้ต้องตกหลุมรัก เพราะนี่คือแซงเกรียสูตรพิเศษที่ Mixologist คิดส่วนผสมความอร่อยเฉพาะที่นี่เท่านั้น

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: ทุกวัน 17:00-01:00 น.
Location:
ชั้น 60 Banyan Tree Bangkok 21/100 ถ.สาทรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ
02-679-1200
https://www.banyantree.com/en/thailand/bangkok/dining/vertigo-too
[su_gmap width=”1600″ address=”Vertigo too”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

มุมไม่ลับที่อยากกลับมาเสมอ
Secret Garden

ใครที่อยากแฮงค์เอาท์ในบรรยากาศสบายๆ ไม่วุ่นวายนั้นแนะนำให้ลองมานั่งที่นี่ หลายคนรู้จักร้านนี้ดีในฐานะร้านขนมหวานสูตรโฮมเมดที่มีชื่อมานาน แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าปัจจุบันร้านนี้เสิร์ฟอาหารไทยตำรับคาวควบคู่กันไปด้วย

ร้านน่านั่งแห่งนี้ตกแต่งในสไตล์ modern English tea room ที่เริ่มต้นความอร่อยจากขนมหวานโฮมเมดแล้วขยับขยายเพิ่มอาหารไทยเข้ามาทีหลัง จนกลายเป็นร้านอร่อยแถบย่านสาทรที่โดดเด่นมามากกว่า 10 ปี แล้ว เมนูที่แนะนำก็เช่น ไก่ทอดมะนาว, ปูก้อนผัดผงกะหรี่, ปลากระพงทอดซอสกระเทียม, กุ้งแม่น้ำทอดซอสมะขาม ซึ่งวัตถุดิบอาหารทะเลนั้นจะสั่งตรงจากแพเจ้าประจำที่มหาชัย ส่วนตำหรับขนมหวานที่พลาดไม่ได้ก็คือ Crepe Cake ครีมสด ราดซอสสตรอเบอร์รี่ ทุกอย่างทางร้านทำแบบโฮมเมดด้วยตัวเอง ซึ่ง Crepe Cake ถือเป็นคือเมนูที่ทางร้านเป็นคนบุกเบิกเจ้าแรกๆ ของกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: ทุกวัน 11.00-22.00 น.
Location:
177/1 ซ.สาทร 5 ถ.สาทรใต้ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ
02-286-2464

[su_gmap width=”1600″ address=”secret garden, sathorn”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]


Sponsor by The Reserve Sathorn

The Reserve Sathorn เป็นโครงการที่พักในรูปแบบ Luxury Residence มาตรฐานใหม่ใจกลางย่านธุรกิจชั้นนำแห่งหนึ่งของ ที่พักอาศัยรูปแบบใหม่นี้มาในคอนเซ็ปต์ Living Fast & Slow ที่ผสมผสานวิถีชีวิตแบบคนเมืองกับวิถีชีวิตเรียบง่ายให้เข้ากันอย่างลงตัว ด้วยความที่ตัวโครงการตั้งอยู่บริเวณต้นซอยสวนพลูที่เป็นจุดเชื่อมตรงกลางระหว่างย่านธุรกิจใหญ่คึกคักกับวิถีชุมชนที่เรียบง่ายมีเสน่ห์ ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตบนสองวิถีที่แตกต่างไปพร้อมกันได้อย่างมีความสุข

เอกลักษณ์เด่นอีกอย่างที่ไม่เหมือนใครก็คือยูนิตพิเศษอย่าง CRYSTAL BALCONY DESIGN ที่สร้างความหรูหราในรูปแบบเฉพาะตัว บริเวณระเบียงกระจกโค้งอันโอ่โถงนี้สามารถเนรมิตมุมพักผ่อนในแบบที่คุณต้องการได้อย่างไร้ขีดจำกัด สะท้อนวิถีชีวิตในรูปแบบ Metro-Sophistication ได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด ซึ่งวิถีชีวิตที่เหนือระดับนี้มีเพียง 134 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งโครงการที่มีศักยภาพน่าสนใจนี้สร้างสรรค์ขึ้นโดย ทีมพรีเมี่ยม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ราคาเริ่มต้น 13 ล้านบาท เปิดเข้าห้องตัวอย่างแล้ววันนี้ สนใจลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษสูงสุด 700,000 บาท* ได้ที่ http://bit.ly/2KqTnXE

Opening Hours: ทุกวัน 9:00-18:00
Location: ถนน สวนพลู แขวง ทุ่งมหาเมฆ เขต สาทร กรุงเทพมหานคร 10120 โทร: 1739 (แผนที่)

Photography by Sharp Jaruwat P

 

นักเดินทางที่เป็นทั้งนักเขียนและช่างภาพในตัว เขียนงานให้กับสื่อต่างๆ ในเมืองไทยมากมายตั้งแต่สารคดีหนักๆ, บทสัมภาษณ์, ไปจนถึงเรื่องดีไซน์และแฟชั่น แต่ผลงานที่โดดเด่นเห็นจะเป็นบทความด้าน Food & Travel ที่เขียนถึงทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เขาหลงรักอย่างญี่ปุ่น

Magazine made for you.