REYKJAVÍK วันที่ไร้แสงเหนือ

สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาแนะนำกรุงเรคยาวิก (Reykjavík) ประเทศไอซ์แลนด์ ในมุมมองใหม่ๆ ดับร้อนหลังสงกรานต์กันครับ ภาพเปิด กับ ชื่อบทความอาจจะดูน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วก็คือ ผมจะพาคุณเที่ยว ในวันที่ไม่มีแสงเหนือนั่นเอง เพราะเมืองนี้ยังมีที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมายเลยครับ

ในช่วงปีสองปีมานี้ คนไทยเราไปเที่ยวประเทศไอซ์แลนด์กันมากขึ้นนะครับ ดังจะเห็นได้จากบทความรีวิวที่มีให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ตามเว็บไซต์ต่างๆ แต่โดยมากแล้วจะเป็นการนำเสนอธรรมชาติอันสวยงามของไอซ์แลนด์เป็นหลักนะครับ โดยเฉพาะทริปตามล่าหาแสงเหนือ (Northern lights หรือ Aurora Borealis) และน้ำตก, ภูเขาไฟ, ถ้ำน้ำแข็ง, หาดทรายสีดำ เหล่านี้เป็นต้น

แต่บทความนี้ไม่มีครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากไปตามล่ากับเค้าบ้าง อยากครับ แต่ด้วยช่วงเวลาที่ไม่เอื้ออำนวย และทุนรอนที่ไม่พร้อม เลยขอพาเที่ยวเมืองหลวงแทนดีกว่าครับ นอกจากจะแหวกแนวแล้ว ยังอาจจะเป็นประโยชน์ให้กับท่านที่ต้องการจะเที่ยวตัวเมืองในช่วงเดือนอื่นที่ไม่มีแสงเหนือ หรือไม่สะดวกจะผจญภัย เป็นต้นครับ

ถ้าพร้อมแล้ว ตามมากันได้เลยครับ

00

1. แนะนำและสถานที่น่าเที่ยวในเมือง

กรุงเรคยาวิก (Reykjavík) นั้นตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ ซึ่งมีลักษณะเป็นเกาะอยู่ทางทวีปยุโรประหว่างกรีนแลนด์และนอร์เวย์ โดยกรุงเรคยาวิกจัดว่าเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของโลก และมีประชากรเพียงหนึ่งแสนสองหมื่นคนเศษ

ประเทศไอซ์แลนด์ถือเป็นประเทศในกลุ่มนอร์ดิก (Nordic) อันประกอบไปด้วยนอร์เวย์, สวีเดน, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ไอซ์แลนด์ และดินแดนปกครองตนเองกรีนแลนด์, หมู่เกาะแฟโร (Færøerne) และหมู่เกาะโอลันด์ (Åland) ครับ

หากจะว่ากันแล้ว ประเทศไอซ์แลนด์นั้นขึ้นชื่อในเรื่องธรรมชาติเป็นอย่างมาก เพราะแม้จะเป็นเกาะขนาดกะทัดรัดแถมประชากรเบาบาง แต่ก็มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมายไม่ว่าจะเป็นธารน้ำตก, ภูเขาไฟที่รอวันประทุ, ถ้ำน้ำแข็ง, เทือกเขา, ป่าสน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่แทบทุกคนอยากสัมผัสกัน นั่นคือแสงเหนือในช่วงปลายหน้าหนาว และนักท่องเที่ยวส่วนมากที่มาเที่ยวไอซ์แลนด์ ก็เลยจะเช่ารถขับรอบเกาะกันเป็นกลุ่ม หรือขอติดรถกับคนท้องถิ่น (hitchhike) ไปด้วย เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

แต่ในบางครั้ง เราอาจจะอยากเที่ยวในเมืองบ้าง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศยามที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ (ซึ่งบ่อย) หรือเพื่อทำความรู้จักกับประเทศเล็กๆ น่ารักแห่งนี้เพิ่มเติมจากธรรมชาติที่สวยงามของเค้ากัน

สถานที่ท่องเที่ยวในตัวเมืองหลวงนั้นมีหลายที่ด้วยกัน กระทู้นี้ผมขอแนะนำสถานที่เหล่านี้ครับ
1_1_A

1.1 Hallgrímskirkja (ฮัลกริมสเคียร์ค่า) เป็นโบสถ์คริสต์ลูเธอรันที่มีสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นและมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมากที่สุดในประเทศ โดยชื่อของโบสถ์ตั้งตามชื่อกวีและนักบวช ฮัลกริมูร์ เพทูร์สัน (Hallgrímur Pétursson) โบสถ์ที่มีความสูง 73 เมตรแห่งนี้ออกแบบโดยสถาปนิก กุธยอน ซามูเอลสัน (Guðjón Samúelsson) ตั้งแต่ปี 1937 เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 1945 และเสร็จเมื่อปี 1986 หรือสร้างกันยาวนานถึง 41 ปีเลยทีเดียว ในปี 2008 โบสถ์แห่งนี้ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่และเสร็จในปีต่อมา (ปกติผมไปเที่ยวเมืองใหญ่ๆ ทีไร ชอบปิดซ่อมสถานที่ท่องเที่ยวกัน โชคดีที่โบสถ์นี้ซ่อมเสร็จแล้วนะครับเนี่ย)

ด้านหน้ามีรูปปั้นของนักสำรวจเลฟ อีริคสัน (Leif Eriksson) ที่เป็นของกำนัลจากสหรัฐฯ ในวาระฉลองรัฐสภาอัลธิงกิ (Alþingi) ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกครบรอบ 1000 ปีในปี 1930 นั่นหมายความว่ารูปปั้นแห่งนี้ปรากฏก่อนหน้าโบสถ์จะสร้างเสร็จหลายสิบปีเลยทีเดียว

เปิดทุกวันตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น และมีพิธีทางศาสนาวันอาทิตย์และวันสำคัญต่างๆ (กำหนดตารางเวลาปลีกย่อยบนหน้าเว็บทางการมีเยอะไปหมดเลยครับ เช็คดูได้ที่นี่ (www.hallgrimskirkja.is/opnunartimi) ถ้าต้องการขึ้นไปชมวิวรอบเมืองด้านบน มีค่าใช้จ่าย 800 ISK (ค่าเงินตีเป็นบาทไทย ก็หาร 4 หรือประมาณ 200 บาท) ส่วนเด็ก 7-14 ปี 100 ISK

1_1_B

ส่วนการเดินทางก็ไม่ยากเลยครับ เช็คสายรถเมล์ได้ที่เว็บนี้เว็บเดียวเลย http://s.is เลือกภาษาอังกฤษโดยคลิกธงอังกฤษด้านบนของเว็บ และกรอกที่อยู่ของโรงแรม กับสถานที่ปลายทางเป็นชื่อโบสถ์ Hallgrímskirkja หรือที่เที่ยวอื่นๆ พร้อมวันเวลาได้เลย เพราะงั้นผมขอไม่ลงรายละเอียดด้านการเดินทางนะครับ

หลังจากถ่ายรูปด้านนอกและออร์แกนเยอรมันขนาดยักษ์ด้านในเสร็จแล้ว หากต้องการจะนั่งพักเหนื่อย ขอแนะนำคาเฟ่โลกิ ที่อยู่ตรงข้ามครับ เดี๋ยวมาแนะนำอีกทีในหัวข้อร้านอาหารนะครับ

1_1_C

1_2_A

1.2 Harpa (ฮาร์ปา) คอนเสิร์ตฮอลล์แห่งใหม่ที่สวยเด็ด เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรมาเยี่ยมชมให้ได้ครับ ด้วยสถาปัตยกรรมที่โมเดิร์นทั้งภายนอกและภายใน (โดยเฉพาะภายใน) ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิกเดนมาร์ก เฮนนิ่ง ลาร์เซ่น (Henning Larsen) และสถาปนิกไอซ์แลนดิกชื่อดัง โอลาฟูร์ อีไลสัน (Ólafur Elíasson)

เห็นสวยๆ อย่างนี้ ค่าใช้จ่ายก็ไม่น้อยครับ 164 ล้านยูโร หรือกว่า 5,650 ล้านบาทเลยทีเดียว เริ่มสร้างปี 2007 ซึ่งแน่นอนครับ วิกฤติเศรษฐกิจโหมกระหน่ำในปี 2008 ก็ทำให้โครงการนี้เกือบจะดีเลย์ แต่ก็สร้างเสร็จในปี 2011 ด้วยเงินสมทบจากรัฐบาลนั่นเองครับ

1_2_B

ด้านในมีนกแก้ว (หมายถึงทำจากแก้ว) แขวนจากเพดาน ดูให้บรรยากาศที่ surreal และ poetic ดีมากครับ ยิ่งเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างไปเห็นเทือกเขาฝั่งตรงข้ามแล้ว ก็ยิ่งดูแล้วได้อารมณ์สงบแบบไอซ์แลนดิกแท้ๆ เลยครับ

สถานที่ตั้งของฮาร์ปานั้นอยู่ติดมหาสมุทรเลย มองออกไปก็จะเห็นเกาะเอนเกย์ (Engey) เกาะและภูเขาวิเดย์ (Viðey) และภูเขาเอสย่า (Esja หรือเอสยัน – Esjan) สวยงามมากครับ

ตัวอาคารเปิดทุกวันเวลา 8 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน ส่วนคอนเสิร์ตฮอลล์เปิดวันทำการเวลา 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น และห้องอาหารเปิดถึง 6 โมงเย็น (ส่วนวันหยุดเปิด 10 โมงเช้าแทนครับ) รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมคอนเสิร์ต สามารถหาได้ที่ http://harpa.is ครับ

1_2_C

1_3

1.3 Perlan (แพร์ลัน) หรืออาคารไข่มุกแห่งนี้ ริเริ่มมาจากแนวคิดของศิลปิน โยฮันเนส คยาร์วัล (Johannes Kjarval) ในปี 1930 ที่ต้องการให้ด้านข้างของโดมนั้นตกแต่งด้วยกระจกเพื่อให้แสงเหนือสามารถส่องลงมาถึงตัวผู้ชมที่อยู่ภายใน หลังคาตกแต่งด้วยคริสตัลหลากสีสันและแสงสาดจากชายคาจะช่วยส่องให้อาคารสว่างไปทั่วบริเวณ และตัวอาคารเข้ากันกับแสงทั้งกลางวันและเวลากลางคืน และอีกกว่าหกสิบปีถัดมา การก่อสร้างจึงเริ่มขึ้น โดยโดมกระจกนี้วางอยู่ตรงตำแหน่งเหนือแทงค์น้ำร้อนเดิมที่เคยจ่ายน้ำให้กับทั้งเมืองมาหลายสิบปีจำนวน 4 แทงค์

ทีเด็ดของที่แห่งนี้ คือวิวจากชั้นบน ที่เห็นเมืองเรคยาวิกได้โดยรอบตลอดทั้งปี และถ้ามีทุนทรัพย์หน่อย ก็สามารถจองโต๊ะกับภัตตาคารชั้นบนสุดที่เสิร์ฟโดยเชฟมือรางวัลที่เคยต้อนรับประธานาธิบดีบิล คลินตันและนางฮิลลารี่มาแล้ว

1_4_A

1.4 Norræna húsið (นอร์แรน่า ฮูสิต) Nordic House ออกแบบโดยสถาปนิกฟินแลนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก อัลวา อาลโต (Alvar Aalto) เปิดอย่างเป็นทางการในปี 1968 สถานที่แห่งนี้อยู่ติดกันกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยไอซ์แลนด์ (Háskóli Íslands) และมีวิวรอบข้างอาคารที่สวยงาม โดยอัลวา อาลโตได้สร้าง Nordic House ในลักษณะนี้อีกสี่แห่งในประเทศอื่นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น หมู่เกาะแฟโร, เกาะโอลันด์ ฯลฯ

ภายในอาคารมีห้องสัมมนา, ห้องอาหารบิสโตรที่เสิร์ฟอาหารนิวนอร์ดิกที่กำลังฮอตฮิตติดลมบนอยู่โดยเชฟ กุนนาร์ คาร์ล กิสลาสัน (Gunnar Karl Gíslason) และห้องสมุด 7 ภาษา (ไม่มีภาษาไอซ์แลนดิก เพราะบรรณารักษ์บอกว่าหาอ่านได้ตามห้องสมุดอื่นอยู่แล้ว) ที่ออกแบบและตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์จากตัวสถาปนิกผู้นี้ นับว่าคอสถาปัตย์ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะที่นี่เป็นที่เดียวในไอซ์แลนด์ที่สถาปนิกผู้นี้ออกแบบ

1_4_B

ไม่มีค่าเข้าชม และห้องสมุดเปิดทุกวันตั้งแต่เที่ยงถึง 5 โมงเย็น ส่วนหน้าร้อน (1 มิ.ย. – 31 ส.ค.) เปิดเฉพาะวันธรรมดาตั้งแต่ 10 โมงเช้า ส่วนบริเวณนิทรรศการ เปิดทุกวันยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่เที่ยงถึง 5 โมงเย็นครับ เช็คโปรแกรมได้ที่เว็บ http://www.nordichouse.is

1_5

1.5 Hið Íslenzka Reðasafn (ฮิตอิสเลนซกา รีดาซาฟน์) หรือ Icelandic Phallological Museum หรือ The Penis Museum ครับ อ่านไม่ผิดหรอกครับ มีจริงๆ พิพิธภัณฑ์จ้าวโลกแห่งนี้แห่งเดียวในโลก (ที่อัมสเตอร์ดัม มีพิพิธภัณฑ์ที่ตรงกันข้ามกันด้วย) โดยเริ่มแรกนั้น ทางเจ้าของพิพิธภัณฑ์ ซิกูร์ดูร์ ฮยาร์ตสัน (Sigurður Hjartarson) ได้รับของกำนัลเป็นจ้าวโลกของสัตว์ประเภทต่างๆ จากเพื่อนๆ ญาติๆ และต่อมาคนอื่นๆ ได้ยินกิตติศัพท์ด้านการสะสมของเขามากขึ้น ทีนี้ก็เลยมีผู้คนจากหลากหลายที่ หลายประเทศทยอยบริจาคของเหล่านี้มาให้เขา จนสามารถมาเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ได้ในปี 1997 ในนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากครับ (หมายถึงพื้นที่ครับ แหม่) แต่ก็รวบรวมเอาจ้าวโลกที่เราน่าจะไม่ค่อยเคยได้เห็นกันของสัตว์หลากหลายประเภทมากๆ (กว่า 250 เอิ่ม แท่ง) ที่น่าตกตะลึงที่สุดก็เห็นจะเป็นของปลาวาฬ sperm whale ที่เอิ่ม ทำเอาผู้ชายทุกคนบนโลกต้องกุมเป้าเดินออกมาคอตกกันเลยทีเดียว เพราะมันบะลั่กกั้กมาก

ทีเด็ดในนี้ ก็ได้แก่ จ้าวโลกหล่อเงินของทีมแฮนด์บอลที่ไปแข่งโอลิมปิกที่จีนทั้งทีม, รายนามผู้บริจาคที่รวมถึงผู้ชายที่ครองสถิติกินเนสบุคล่าสุด และจ้าวโลกของเอลฟ์ (Homo sapiens Obscurus) ครับ ของจริงมีจริงๆ ครับ ส่วนหน้าตาเป็นยังไง ไม่ขอบอก ให้มาเซอร์ไพรส์เอาเองครับ

ค่าเข้าชม 1,250 ISK ส่วนเด็กไม่เกิน 12 ปีเข้าชมฟรี เปิดทุกวันตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น ในช่วง 1 พ.ค. – 30 ก.ย. และเปิด 11 โมงเช้าในช่วงหน้าหนาวตั้งแต่ 1 ต.ค. – 30 เม.ย.

เช็ครายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.phallus.is/en/

1_6_A

1.6 Seltjarnarneskirkja (เซลชาร์นาร์เนสเคียร์ค่า) ไม่มีข้อมูลเท่าไหร่ครับ เพราะตอนนั้นเดินผ่านเพื่อไปหาประภาคารที่อยู่สุดหาด โบสถ์ที่ไอซ์แลนด์หลายโบสถ์มีดีไซน์ที่เด่นและโมเดิร์นดีครับ ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไอซ์แลนด์นั้นนับถือศาสนาคริสต์นิกายลูเธอรัน ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของโปรเตสแตนท์ โดยมีผู้ก่อตั้งคือ นักบวชและนักปฏิรูปศาสนาชาวเยอรมัน มาร์ติน ลูเธอร์ ครับ นิกายลูเธอรันนี้แพร่หลายในทวีปยุโรปตอนเหนือในคริสตศตวรรษที่ 16 เมื่อพระมหากษัตริย์ในประเทศเดนมาร์ก-นอร์เวย์ ซึ่งขณะนั้นปกครองไอซ์แลนด์และหมู่เกาะแฟโร และประเทศสวีเดน ทรงหันมานับถือนิกายนี้กันครับ

สำหรับโบสถ์แห่งนี้มีวิวที่สวยงามมาก เพราะตั้งอยู่บริเวณคล้ายหน้าผา เพราะฉะนั้นเมื่อมองออกไปก็จะเห็นภูเขาอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนเวลาเปิดก็ตั้งแต่ 11 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น

1_6_B

นอกเหนือจากสถานที่ที่แนะนำมานี้ ยังมีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากครับ ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์การเรียนรู้เรื่องแสงเหนือ ออโรร่าเรคยาวิก (Aurora Reyjavík), พิพิธภัณฑ์ซาก้า (Saga Museum) ที่เล่าประวัติศาสตร์โบราณสมัยไวกิ้ง โดยเราสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมตามศูนย์ประชาสัมพันธ์สำหรับนักท่องเที่ยวหรือโบรชัวร์ประชาสัมพันธ์ตามร้านอาหาร, ร้านกาแฟ และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ รอบเมืองครับ


2. ศิลปะและวัฒนธรรม

ประเทศเล็กๆ อย่างไอซ์แลนด์นั้น มีประวัติศาสตร์อันยาวนานตั้งแต่สมัยไวกิ้งนู่นเลย (ถ้าเคยชมหนังเรื่อง Thor หรือทีวีซีรียส์ Vikings ก็อาจจะคุ้นเคยกับ Åsgard, Odin, Thor, Myrnin กันอยู่บ้าง) ราวๆ ช่วงศตวรรษที่ 10 หรือพันกว่าปีนั้น นักโทษหรือคนที่ถูกสังคมขับไล่ออกจากแผ่นดินใหญ่ (แถบสแกนดิเนเวีย) ก็จะมาปักหลักปักฐานกันที่ไอซ์แลนด์นี่ เฉกเช่นเดียวกับออสเตรเลียในยุคบุกเบิกครับ จากปากคำของคนเดนมาร์กที่รู้จักเค้าว่ากันอย่างนี้ ซึ่งจริงเท็จแค่ไหน ผมไม่กล้าไปถามคนไอซ์แลนดิกเอง กลัวจะได้ทานยำบาทาก่อนกลับบ้านมาซะก่อน

นอกจากนี้ ยังมีเล่าต่อเพิ่มเติมว่า ที่สาวไอซ์แลนดิกหน้าตารูปร่างดูสวยนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการออกล่า (คำว่าไวกิ้งจริงๆ แล้วเป็นกิริยาหมายถึงการไปปล้นสะดมต่างถิ่น) และลักพาตัวสาวสวยหน้าตาดีจากฝั่งเกาะอังกฤษ ประเภทว่ามีการคัดเลือก Britain’s Next Top Model ก่อนทีนึง เพื่อให้ได้แม่บ้านชั้นยอดกลับบ้านมา เพราะตอนที่มาปักถิ่นฐานตอนแรกๆ นั้นมีแต่ชายฉกรรจ์ทั้งนั้น จึงออกแนว Beauty and the Beast ผู้หญิงสวยส่วนผู้ชายดูโหด

อย่างภาพนี้เป็นละครเวทีเรื่อง Fjalla-Eyvindur og Halla ที่กำลังจัดแสดงอยู่ที่โรงละครใกล้กับ Harpa ตอนนี้ จะเห็นได้ว่าถ้าเดินในเมือง เราจะพบกับผู้ชายสไตล์ฮิปสเตอร์ไว้หนวดเคราเฟิ้ม ส่วนผู้หญิงก็สวยบอบบางร่างน้อยอยู่เป็นจำนวนมากครับ

ภาพประกอบจาก Leikhusid

ทว่าเห็นเป็นเกาะเล็กๆ มีประชากรเบาบางอย่างนี้ ก็มีเรื่องน่าทึ่งอยู่มากมายครับ หนึ่งในนั้นก็คือด้าน​ศิลปะ ที่ประเทศไอซ์แลนด์ขึ้นชื่อเรื่องผลงานประพันธ์, งานดนตรี, หัตถกรรม และสถาปัตยกรรม

2.1 วรรณกรรม

ในส่วนของผลงานประพันธ์นั้น ปัจจัยหลักที่ส่งเสริมและสนับสนุนก็เห็นจะเป็นวัฒนธรรมรักการอ่านที่จริงจัง มาอย่างยาวนานครับ ดังจะเห็นได้ง่ายๆ ว่าร้านหนังสือนั้นหาได้ง่ายในเมือง และปิดดึกมาก บางร้านปิดกันตอนสี่ทุ่มก็มี แถมตอนที่ผมไปเดินๆ เลียบๆ เคียงๆ ก็เห็นว่าทุกเล่ม เราสามารถเปิดอ่านได้หมด แม้ว่าจะเล่มแพงแค่ไหนก็จะมีหนึ่งเล่มที่แกะซีลพร้อมให้เปิดอ่านก่อนซื้อเสมอ คือถ้าอากาศภายนอกมันเดินฝ่าไปไม่ไหวจริงๆ การมาหลบมุมในร้านหนังสือ หรือคาเฟ่ (บางร้านหนังสือมีคาเฟ่อยู่ชั้นบน พร้อมเลย) ก็เป็นไอเดียที่ดีครับ

หนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวไอซ์แลนด์ก็เห็นจะไม่พ้น รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ที่ตกเป็นของ ฮัลดอร์ คิลยัน ลักซ์เนส (Halldór Kiljan Laxness) ที่ได้รับในปี 1955 อันเนื่องมาจาก « พลังอันสูงส่งและมีสีสันของท่าน ที่ได้ชุบชีวิตศิลปะด้านการพรรณาอันยิ่งใหญ่ของไอซ์แลนด์ให้กลับมาอีกครั้ง – for his vivid epic power which has renewed the great narrative art of Iceland »

2_1_A

เพราะฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ในแต่ละปี จะมีเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับแวดวงวรรณกรรมอยู่บ่อยครั้งในไอซ์แลนด์ อย่างวันที่ผมไปเที่ยว ก็มีจัด International Film and Literature Festival ขึ้น โดยมีการนำเสนอนักเขียนที่น่าจับตาที่ Nordic House (ที่ผมแนะนำไปในหัวข้อ 1.4)

2_1_B

การที่ได้มาฟังนักเขียนระดับแนวหน้าของประเทศอ่านบทประพันธ์ในภาษาไอซ์แลนดิก แม้จะฟังไม่ออก แต่มันได้ฟีลที่ poetic เอามากๆ เลยนะครับ เพราะภาษาไอซ์แลนดิกจะออกเสียงค่อนข้างนุ่มๆ ไม่หนักแน่นเหมือนภาษาเยอรมัน มันฟังดูไพเราะโรแมนติกดีครับ

ปรากฏว่า นักเขียนท่านนี้ชื่อ ฌอน (Sjón) ซึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียงในประเทศแถบนอร์ดิกอยู่แล้ว และผลงานได้รับการตีพิมพ์หลายภาษาด้วยกัน ในวันนั้นท่านอ่านท่อนหนึ่งของนิยายเล่มล่าสุดที่ชื่อ มอนาสตีน (Mánasteinn หรือก้อนหินจันทรา the Moon Stone) ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่รักการดูหนังมาก จึงยอมขายตัวเพื่อนำเงินมาดูหนังเกือบทุกวัน และเด็กคนนี้ก็บรรยายเหตุการณ์ของไอซ์แลนด์ (ด้วยสายตาของคนนอกคอก) ในช่วงปี 1918 ที่เป็นปีสำคัญของประเทศ เพราะเป็นปีที่ไอซ์แลนด์ประกาศเอกราชจากเดนมาร์ก และเป็นปีชง เพราะเกิดภัยธรรมชาติสองเหตุการณ์ซ้อนกันเลย คือ หวัดสเปน (Spanish Flu) ที่คร่าชีวิตคนไปนับหมื่น และภูเขาไฟระเบิด

2.2 ดนตรี

ในส่วนของดนตรีนั้น ประเทศไอซ์แลนด์ก็มีวงดนตรีที่มีชื่อเสียงระดับโลกอยู่เช่นกัน ที่ดังๆ ก็เช่น บยอร์ก (Björk) สาวมหัศจรรย์ที่สร้างชื่อให้กับไอซ์แลนด์ไปทั่วโลก ด้วยแนวดนตรีที่แหวกแนว มีความเป็นศิลปะผสมกับดนตรีอย่างมีลูกเล่นชั้นเชิง (ก่อนที่เลดี้กาก้าจะดังเสียอีก) ทำให้ไม่ว่าจะไปร้านขายดนตรีที่ไหนในไอซ์แลนด์ ก็จะมีแผ่นหรือซีดีของเธอปรากฏอยู่เสมอ ล่าสุด สาวคนนี้ก็ได้ออกอัลบั้มใหม่เอาใจแฟนเพลง ที่ชื่อว่า วัลนิคูรา (Vulnicura) ให้ได้ฟังกัน ความดังของเธอนั้น ถึงขนาดที่ว่าพิพิธภัณฑ์ศิลปะอันดับต้นๆ ของโลกอย่าง Museum of Modern Art (MoMA) ในอเมริกา ได้จัดนิทรรศการเกี่ยวกับบยอร์คอย่างเต็มรูปแบบในปีนี้ ซึ่งศิลปินน้อยรายมากๆ ที่ได้รับเกียรติเช่นนี้

ลองชมปกอัลบั้มล่าสุดของเธอแบบเคลื่อนไหวประกอบเพลง Family กันครับ

เช่นเดียวกันกับ ซิกูร์ รอส (Sigur Rós) ที่ก็ดังไปทั่วโลก หลังจากที่อัลบั้มที่สองที่ชื่อ ออแกติส บือริน (Ágætis byrjun หรือ A Good Beginning) เปิดตัวในปี 1999 ก็โด่งดังเป็นอย่างมาก นักวิจารณ์เพลงหลายสำนักก็ยกย่องว่าเป็นอัลบั้มชั้นยอด ด้วยสไตล์เพลงที่แหวกแนว ผสมผสานดนตรีคลาสสิกกับร็อคแบบมินิมอลและแม้เนื้อร้องส่วนใหญ่จะเป็นภาษาไอซ์แลนดิก หรือบางเพลงก็ไม่เป็นภาษา แต่ก็ไม่มีอะไรมาฉุดวงนี้ไว้ได้ หลังจากนั้นมา ซิกูร์ รอสก็เดินสายออกงานไปทั่วโลก และออกอัลบั้มตามมาอีกแปดอัลบั้ม ล่าสุดในปี 2013 ชื่อว่า คเวย์คูร์ (Kveikur) ส่วนความดังนั้นก็ขนาดที่ว่ามีไปปรากฏตัวในการ์ตูน The Simpsons ชื่อตอน The Saga of Carl และมีไปเล่นดนตรีในตอนนึงของซีรี่ยส์ Game of Thrones (ซึ่งส่วนหนึ่งถ่ายทำที่ไอซ์แลนด์นี่เอง) เมื่อปีที่แล้วอีกด้วย

ลองชมเพลง Brennisteinn จากอัลบั้มล่าสุดของพวกเขากันดูครับ

สองวงนี้ ดูมีความเป็นศิลปินอยู่สูงนะครับ ไม่ค่อยแคร์คนติดตามหรือกระแสเพลงเท่าไหร่ แต่จะเล่นเพลงในแบบของตัวเองอย่างเต็มที่ ถ้าไม่ใช่แนว อยากฟังเพลงสไตล์ป๊อปร็อค ก็ขอแนะนำสองวงนี้แทนครับ

วงแรก ดังในหมู่วัยรุ่นและฮิปสเตอร์มาได้สองสามปีแล้วครับ กับ Of Monsters and Men ด้วยอัลบั้มอินดี้ป๊อปเปิดตัวในปี 2011 ที่ชื่อว่า My Head is An Animal ติดชาร์ตอันดับหนึ่งในออสเตรเลีย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์ และอันดับ 6 ในบิลบอร์ดของสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ ล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วก็ปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ Crystals จากอัลบั้ม Beneath the Skin ที่กำลังจะคลอดเร็วๆ นี้ครับ รับชมเนื้อเพลงที่ร้องโดยคุณลุงเครางามกันได้เลยครับ

ส่วนอีกวง อาจจะยังไม่ดังติดชาร์ตอย่างวงอื่นๆ แต่เพลงนี่ก็ไพเราะลื่นหูดีครับ วงชื่อ เอาสเกร์ เทราสทิ (Ásgeir Trausti) ตามชื่อนักร้องนำ อัลบั้มออกมาแล้วหนึ่งอัลบั้ม ชื่อว่า Dýrð í dauðaþögn และออกอัลบั้มภาษาอังกฤษโดยแปลร่วมกับ John Grant ใช้ชื่ออัลบั้มว่า In the Silence ครับ

ลองฟังภาษาอังกฤษสำเนียงไอซ์แลนดิกจากเพลง King and Cross เพลงนี้ดูได้ครับ

นอกจากนี้ ถ้ายังไม่จุใจอีก ก็มีลิสต์วงหน้าใหม่จากไอซ์แลนด์พร้อมเพลงให้ได้ฟังกันด้วยครับ ที่เว็บนี้ (BuzzFeed)

ส่วนภาพนี้ เป็นวง Apparat Organ Quartet ออกแนว Kraftwerk ผสมกับ Daft Punk และ Sigur Rós ตอนที่มาเปิดมินิคอนเสิร์ตที่ Kex Hostel Bar (www.kexhostel.is/drinx) ครับ อันนี้เพื่อนแนะนำมา เลยมีโอกาสไปดู บาร์แห่งนี้ตกแต่งได้บรรยากาศวินเทจมาก มีช่างตัดผมในร้านด้วย แต่วันนั้นคนแน่นร้านไปหน่อยครับ เพราะต่างก็มาดูคอนเสิร์ตวงนี้กัน

2_2

2.3 หัตถกรรม

นอกจากศิลปะในเชิงวรรณกรรมและดนตรีแล้ว ด้านงานหัตถกรรมก็โดดเด่นเช่นกันครับ โดยเฉพาะการเย็บปักถักร้อยที่ขึ้นชื่อมากๆ เสื้อถักไหมพรมของไอซ์แลนด์นี่เป็นสินค้าส่งออกที่เป็นที่ยอมรับไปทั่วยุโรปครับ ว่านอกจากจะอุ่นแล้วเนื้อผ้ายังนุ่มและลวดลายสวยงาม ยิ่งสมัยใหม่นี้ ก็มีออกแบบได้เก๋ไก๋ดูมีสไตล์มากครับ แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ราคาสูงครับ แหะๆ เลยไม่ได้อุดหนุนมากับเค้าเลย (เขินจัง)

2_3_A

ภาพนี้เป็นผลงานศิลปะที่จัดแสดงที่ศูนย์วัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์ ฮาฟนาร์บอร์ก (Hafnarborg) ที่ Hafnarfjörður ครับ เข้าชมฟรีทุกวันยกเว้นวันอังคาร ตั้งแต่เวลา เที่ยงถึง 5 โมงเย็นครับ http://hafnarborg.is/en

ส่วนว่าถ้าอยากช้อปปิ้งงานฝีมือชั้นดี ก็แนะนำแบรนด์เสื้อผ้า เกย์เชียร์ (Geysir – www.geysir.com) ครับ ส่งทั่วโลก ทั้งนี้ ไม่ขออธิบายมากครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นการโฆษณาขายของไป

ภาพนี้เป็นแบรนด์ลูกครับ Farmers Market พอดีผมเดินหลบลมแรงพอดี ตกแต่งร้านสไตล์เรโทรๆ หน่อย น่าเดินเล่นดีครับ

2_3_B

นอกจากนี้ ศิลปะแขนงอื่นอย่างจิตรกรรม, ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ไอซ์แลนด์ก็ขึ้นชื่อในด้านมินิมอลและสไตล์ดิบๆ แอบลึกลับหน่อยๆ ที่ส่วนหนึ่งคล้ายคลึงกับประเทศแถบนอร์ดิกอื่นๆ แต่อีกส่วนหนึ่งก็มีความเด่นชัดในตัวเอง โดยได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติอันสวยงามรอบตัว, ภูเขาไฟ และสภาพอากาศที่หนาวเย็นครับ แต่ผมคงไม่ลงรายละเอียดละกันครับ เพราะคงต้องใช้เนื้อที่พอสมควร

ขอยกตัวอย่าง แค่ภาพเปิดกระทู้ด้านบนสุด เป็นผลงาน โซลฟาร์ (Sólfar หรือ the Sun Voyager) ที่เป็นโครงร่างของเรือที่จะพาคุณไปยังดวงอาทิตย์ที่เป็นตัวแทนแห่งแสงและความหวัง ผลงานของประติมากร ยอน กุนนาร์ เอาร์นาสัน (Jón Gunnar Árnason) สถานที่ของโซลฟาร์ชิ้นนี้อยู่ตรงบริเวณหาดด้านหน้าเยื้องจากคอนเสิร์ตฮอลล์ ฮาร์ปาครับ เดินมานิดเดียวก็เจอแล้ว

2_3_C

ป้ายที่ติดใกล้กันกับตัวผลงานมีเขียนข้อความโดยศิลปินไว้ดังนี้ (ขอยกมาแต่ภาคภาษาอังกฤษนะครับ)

« We all have our fantasy boats,

vessels that we dream of sailing,

sway in, into the dream. In my

ships I unite my own fantasy,

precision and the knowledge that

boat builders have developed

throughout the ages. The sun

ship gives us a promise of a

primeval land. »

— แปลคร่าวๆ ได้ดังนี้ —

« เราทั้งหลายล้วนมีเรือในจินตนาการ

ลำเรือที่เราวาดฝันไว้แล่น

กวาดแกว่งไปมาท่ามกลางความฝัน

ในเหล่าเรือของฉันนั้น ฉันได้รวบรวมเอาทั้งจินตนาการ

ผนวกเข้ากันกับความพิถีพิถันและความรู้

ที่นักต่อเรือได้พัฒนา

สืบทอดกันมายาวนาน

สุริยนาวานี้มอบพันธะสัญญา

ของดินแดนแห่งบรรพกาลให้แก่เรา »

ส่วนผลงานสองชิ้นนี้ไม่ค่อยมีข้อมูลเท่าไหร่ ต้องขออภัยด้วยครับ

ชิ้นแรกเป็นภาพวาดกราฟฟิตี้ที่ดูสวยดีครับ แถมตอนที่ถ่ายเผอิญว่าลูกเห็บหยุดตกแล้วมีรุ้งพาดผ่านพอดี อยู่ไม่ไกลจากฮาร์ปาเท่าไหร่ครับ เดินมาทางซ้ายมือเลียบชายหาดมาเรื่อยๆ

2_3_D

ประติมากรรมรูปปั้นนี้ทราบว่าชื่อ โอเธคติ เอ็มแบตติสมาธูริน (Óþekkti embættismaðurinn หรือข้าราชการนิรนาม – Unknown Official) ตั้งอยู่ใกล้กันกับศาลาว่าการเรคยาวิก เป็นผลงานของ มักนุส โทมัสสัน (Magnús Tómasson) ท่านเดียวกับที่ออกแบบไข่เงินยักษ์ the Jet Nest ที่บริเวณด้านเหนือของเทอร์มินัลที่สนามบินหลัก Keflavik Airport ครับ

2_3_E


3. ร้านอาหาร

ทีนี้ มาถึงเรื่องปากท้องกันบ้างครับ แน่นอนว่าผมคงไม่แนะนำให้ลองทานเนื้อฉลามหมัก เพราะรสแบบว่า อึ๋ยแหวะมาก แต่ถ้าอยากลองสักครั้งก็ไม่ว่ากันครับ ทิปที่คนไอซ์แลนด์แนะนำคือ ทานคำแรกแล้วรีบตามไปด้วยคำถัดไป ก่อนที่กลิ่นจะตลบในปาก หรือล้างปากด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอลช็อต (brennivín) ดีกรีพอๆ กับวอดก้าครับ

ส่วนร้านอาหารที่จะขอแนะนำก็มีสามร้าน สามสไตล์ที่ผมไปลองทานมาครับ

3.1 Café Loki (คาเฟ่โลกิ)

ไม่กล้าอ่านเป็นอีกชื่อนะครับ กลัวเข้าใจผิด ร้านนี้ถ้าจำได้ ผมเคยพูดถึงในหัวข้อ 1.1 ไว้ว่า ตั้งอยู่ตรงข้าม Hallgrímskirkja เป็นร้านคาเฟ่ที่เสิร์ฟอาหารไอซ์แลนดิกแท้ๆ ด้วย ที่จำร้านนี้ได้ เพราะตอนที่นั่งเครื่องกับ ไอซ์แลนด์แอร์มีมาสัมภาษณ์เจ้าของร้านนี้ด้วย อาหารก็มีหลากหลายครับ ออกแนวเหมาะกับอาหารเช้าและกลางวันมากกว่าดินเนอร์อาหารเย็น เพราะมาในจานเล็กๆ หรือเป็นซุปอุ่นๆ คลายร้อน

ร้านนี้เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวมาก เพราะสะดวกสุดแล้วเมื่อมาเยือนโบสถ์แห่งนี้ โดยเมนูที่ผมสั่ง Íslenskt góðgæti III หรือจานเด็ดไอซ์แลนดิกเซ็ตสามก็ประกอบด้วยสามอย่างครับ ขนมปังโปะด้วยมันฝรั่งบดโรยพริกไทยดำและผักชี, ปลาแฮร์ริ่งกับไข่ต้มฝานบนขนมปังไรย์ประดับด้วยหัวหอมหั่นและผักดิลล์ และไอศกรีมราดวิปครีมและคาราเมล อร่อยมากครับ มื้อนี้ผมให้ 4.5/5 ดาว เลย เพราะอร่อย ราคาปานกลาง (จานนี้ห้าร้อยบาทเศษ) และบริการดี แถมฟรีไวไฟอีก เรียกได้ว่าครบครับ

เมนูอื่นๆ สามารถดูได้ที่ http://loki.is/index.php/cafe-loki/matsedill

ป.ล. ร้านนี้มีเบียร์ของตัวเองด้วยครับ เผื่ออยากลอง

ร้านโลกิพี่ชายของธอร์นี้เปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม ส่วนวันอาทิตย์เปิด 11 โมงครับ

3.2 Noodle Station

ถ้าไม่ถูกปากอาหารไอซ์แลนดิกและอยากทานอาหารไทยแทน ผมขอเสนอก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นเรคยาวิกร้านนี้ครับ

อุตส่าห์ถ่อสังขารมาไกล เพื่อมาลิ้มลองรสชาติเด็ด ที่คาดว่าแม่ช้อยคงไม่บินมารำ (เพราะหนาว คงได้เป็นหวัดกันพอดี) ไก่ตุ๋นหอมได้ที่ มีเครื่องปรุงพร้อมใส่ แถมพนักงานเป็นฝรั่งหัวทอง (เอ๊ะ ไม่เกี่ยว) บรรยากาศในร้านดูเรียบง่าย เหมาะกับฮิปสเตอร์เงินน้อย ตกชามละ 200 กว่าบาท ซึ่งถือว่าถูกเมื่อเทียบกับร้านอื่นที่จานละสามสี่ร้อยอัพ

3_2_B

ร้านนู้ดเดิลสเตชั่นใกล้กับ The Penis Museum ที่แนะนำไปในหัวข้อ 1.6 แล้ว ขอมอบดาวให้ 3.5/5 ดาว เพราะรสชาติจัดได้ว่าเด็ดตามสไตล์คนไทย ราคาประหยัด แต่ต้องบริการตัวเองมากหน่อยครับ ที่นั่งมีไม่เยอะ และไม่มีไวไฟ (ช่างเป็นลูกค้าที่เรื่องมากเหลือเกินนะครับ ผมเนี่ย)

3.3 Teni (เทนิ)

ร้านสุดท้ายที่แนะนำ คือร้านอาหารเอธิโอเปีย ชื่อ Teni ที่ก็แน่นอนครับ ต้องถ่อสังขารมาหาทานกันที่ไอซ์แลนด์กันเลยทีเดียว

Processed with VSCOcam with f2 preset

อาหารประเทศนี้จัดมาในถาดคล้ายขันโตกบ้านเรา รองด้วยขนมปังแผ่นบางนุ่มๆ หยุ่นๆ บนจานนี้ประกอบด้วยเนื้อแกะ (ด้านล่าง) ไก่ (มีขาไก่อ้วนท้วนซ่อนอยู่ตรงกลางเป็นเซอร์ไพรส์) และเนื้อวัว (นับถือเจ้าแม่กวนอิมเลยไม่ได้ทาน) ประดับด้วยผักสองประเภทประกบข้าง และโรยชีสบดสีขาวๆ ส่วนที่เห็นวงรีๆ ก็คือไข่ต้มธรรมดา

วิธีรับประทาน ให้หยิบม้วนขนมปังโรลมาฉีกเป็นแผ่นและใช้สามนิ้วหยิบอาหารตรงหน้า (เทคนิคส่วนตัว บางคนอาจใช้ห้านิ้วหรือไม่ใช้แผ่นขนมปังก็ได้ แต่ร้อนนิ้วหน่อยนะ)

เครื่องดื่มมีให้เลือกไม่ว่าจะเป็นเบียร์ (ซึ่งสั่งมาลอง รสชาติโอเคไม่พิเศษอะไร) ร้านนี้มีให้เลือกสองยี่ห้อ St. George (light beer) และ Amber ซึ่งจริงๆ ก็บ่ทจากโรงงานเดียวกัน หรือถ้าอยากคอนทราสต์กับการจกอาหารกินก็สามารถสั่งไวน์แดงมาจิบชิลๆ คูลๆ แทนก็ได้ (ซึ่งไม่ครับ เพราะขัดกับบุคลิก)

หากมากันตั้งแต่สี่คนขึ้นไป สามารถสั่งกาแฟเอธิโอเปียกับทางร้านได้ ซึ่งพิเศษตรงที่มีกรรมวิธีการชงเฉพาะตามต้นตำหรับ และกาแฟของเอธิโอเปียนั้นขึ้นชื่อไปทั่วโลก (แต่ไม่ดื่มกาแฟเลยไม่มายด์)

พนักงานมีอิมพอร์ตมาจากเอธิโอเปียโดยตรงหนึ่งคน ซึ่งเธอเฟรนด์ลี่มาก ประทับใจ ที่สำคัญบรรยากาศมันพีคมาก เพราะวิวนอกหน้าต่างเป็นภูเขาหิมะทั้งเทือกในขณะที่อาหารก็เผ็ดจัดจ้านถึงใจสไตล์แอฟริกา ดูคอนทราสต์สุดๆ และเพลงทึ่เปิดในร้านฟังไปฟังมา เหมือนเพลงลูกทุ่งบ้านเรามาก ทั้งจังหวะ ทำนอง ลูกเอื้อน คือแต่ฟังไม่ออกแค่นั้นว่าร้องอะไร แต่ฟีลใช่มากๆ เซอร์ไพรส์สุดๆ

สรุปร้านนี้ ให้ 4/5 ดาว เพราะพนักงานบริการดี อาหารอร่อย บรรยากาศดี วิวสวยมาก แต่ริบอีกดาวขอเก็บไว้ให้ร้านอื่นก่อน เพราะไม่มีไวไฟ และที่สำคัญราคาค่อนข้างสูง อย่างขันโตกข้างบนตกคนละ 3,900 ISK อีกนิดก็จะพันบาทแล้วครับ

นอกจากสามร้านที่แนะนำแล้วก็ยังมีที่อื่นอีก เช่น ร้านรถเข็นแบยารินส์ เบสตู พูลซูร์ (Bæjarins Beztu Pylsur หรือ the Best Hot Dogs in Town) ใกล้กันกับคอนเสิร์ตฮอลล์ ฮาร์ปา (คำว่าพูลซา – pylsa แปลว่าฮอตดอก) เห็นล่ำรือกันว่าอร่อยมาก หรือร้านกาแฟท้องถิ่นเก่าแก่ชื่อดัง ทิว ดรอปาร์ (Tíu Dropar หรือร้านสิบหยด – Ten Drops) ที่มีเสิร์ฟอาหารท้องถิ่นแบบดั้งเดิมด้วย แต่ขอพอเท่านี้ก่อนครับ

ส่วนว่าถ้าคุณคิดถึงรสชาติอาหารไทย ก็แนะนำยำยำครับ หาได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ หรือถ้าจะเอาเป็นร้านไทย ก็มีร้าน บ้านไทย, เรือนไทย และครัวไทยครับ ดำเนินงานโดยน้าๆ คนไทยใจกล้าที่ฝ่าลมหนาวมาเสิร์ฟอาหารไทยถึงไอซ์แลนด์แห่งนี้ แต่ผมยังไม่เคยได้ไปลิ้มลองนะครับ เลยไม่ได้มาแนะนำกัน

5_5_F


4. วิวของเมือง

เมืองเรคยาวิกนั้นติดกับมหาสมุทร และเป็นเมืองท่าสำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน ชัยภูมินั้นดีมาก เพราะ ด้านหน้ามีน้ำ ด้านหลังมีภูเขา โดยภูเขาที่เห็นได้เกือบจะทั่วเมืองก็จะเป็น เขาเอสย่า (Esja) ที่ในช่วงฤดูหนาว มีหิมะปกคลุมดูขาวโพลน

สิ่งหนึ่งที่ควรรู้เวลามาเที่ยวไอซ์แลนด์ก็คือ สภาพอากาศ ที่เปลี่ยนแปลงบ่อยมาก และเร็วมาก แถมคาดเดาไม่ค่อยได้ ผมประสบด้วยตาตัวเองเลย มีวันหนึ่งที่กำลังเดินเลียบชายหาด จากตอนแรกที่พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตก ก็ตกตามคาด ผ่านไปได้สักชั่วโมงก็หยุด เมฆก็ปกคลุมฟ้าไปทั่วดูเทาๆ และจู่ๆ ก็ลูกเห็บตกใส่ จากที่ค่อยๆ ลงมาเบาๆ ก็เริ่มหนักขึ้น เริ่มเจ็บตัว เพราะลูกเห็บก็คือหยาดฝนที่แข็งตัวนี่เอง พอตกไปได้สัก 5 นาที ก็เริ่มซาลง และฟ้าก็เปิด แดดส่อง มีรุ้งให้เห็น และผ่านไปได้ประมาณ 10 นาที ลมเย็นก็โกรกมาอย่างแรง แทบจะเดินกันไม่ได้เลยทีเดียว ตอนค่ำๆ ก็หิมะตกอีก คือวันนั้น เป็นวันที่ปรับตัวเองตามสภาพอากาศไม่ทันจริงๆ ครับ มาแบบครบเลยในวันเดียว

ฉะนั้น ถ้าจะมาเที่ยวที่ประเทศนี้ ต้องเตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะกับหลายสภาพอากาศหน่อย ถ้ากันน้ำได้ยิ่งดีครับ ไม่เช่นนั้นแล้ว เมื่อเสื้อชั้นนอกเปียกและอมน้ำไว้ พอลมหนาวๆ พัดมาจะหนาวสั่นเอาได้ง่ายๆ

แบรนด์เสื้อผ้าของไอซ์แลนด์เอง อย่าง 66°North ก็ผลิตมาตั้งแต่ปี 1926 เพื่อการสวมใส่ของชาวประมงท้องถิ่นในสภาพอากาศที่รุนแรงอย่างไอซ์แลนด์ หากต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานๆ ผมว่าลงทุนกับเสื้อกันหนาว, กันฝนที่ทนๆ หน่อยก็ดูจะคุ้มค่าดีนะครับ

ลองชมภาพวิวเมืองเรคยาวิกด้านล่างกันครับ แต่ละภาพนั้น ระยะเวลาห่างกันอาจจะวันหรือสองวัน จะพอเห็นได้บ้างนะครับว่ามีทั้งแบบ มองไม่เห็นอะไรเลย กับแบบฟ้าสดใสมาเลย

4_0_A

ภาพจากสวนสาธารณะใกล้ๆ กับ The Nordic House และมหาวิทยาลัยไอซ์แลนด์ (Háskóli Íslands) ในวันที่เมฆมาก ยอดเขาด้านหลังมองเห็นได้ไม่ถนัดนัก ถ้าสังเกตตัวอาคารบ้านเรือน จะเห็นว่าการใช้สีตกแต่งไม่ร้อนแรง แต่จะเป็นโทนสีที่พบได้ตามธรรมชาติรอบข้าง อย่างสีเอิร์ธโทน เหลือง, น้ำตาลอ่อน  ไล่ไปจนถึงน้ำตาลเข้ม ที่พบได้จากต้นไม้ใบหญ้าช่วงฤดูใบไม้ร่วง, เทา-ดำ และมีสีน้ำทะเลออกแนวน้ำเงินเข้มๆ ที่เป็นสีประจำชาติ (ถ้าเป็นประเทศแถบสแกนดิเนเวียหรือเมดิเตอร์เรเนียน จะเป็นสีฟ้า) กับสีเขียว, แดงมาตัดอารมณ์บ้างครับ

4_0_B

วันถัดมา เมฆครึ้มอึมครึมมาเลยครับ ภาพนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty ที่นำแสดงโดยเบน สติลเลอร์ ที่มีมาถ่ายทำหลายฉากที่ไอซ์แลนด์ด้วย (รวมถึงฉากที่เป็นกรีนแลนด์)

ที่ไอซ์แลนด์นั้น มีข้อบังคับอยู่อย่างนึงว่า หากพบเห็นผู้ประสบเหตุหรือขอความช่วยเหลือนั้น คุณจะต้องเข้าไปช่วยเหลือทันที สาเหตุหลักก็เพราะในธรรมชาติและสภาพอากาศที่รุนแรงนั้น การเกิดอุบัติเหตุใดๆ ก็ตาม หากปล่อยปละละเลยอาจหมายถึงชีวิตของคนๆ นั้นได้ ซึ่งอันนี้ คนไอซ์แลนดิกที่ผมไปพักด้วยยืนยันมาว่าจริง

ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งรถบัสเข้าไปยังตัวเมืองนั้น ก็พบเห็นน้ำใจของคนไอซ์แลนดิกครับ เพราะมีน้องตัวเล็กๆ หน้าซีดเผือกนั่งอยู่ตรงข้ามถัดไปสามสี่เบาะ จู่ๆ พอใกล้ถึงป้ายโรงพยาบาลรัฐ (Landspítali คล้ายกับศิริราชบ้านเรา) น้องก็อ้วกออกมาเลอะไปหมด ปรากฏว่าผู้คนที่นั่งอยู่ติดกัน และถัดไปด้านข้าง รวมๆ แล้วก็น่าจะ 6 คนก็พารีบกันพยุงน้องลงไปจากรถ และพาไปโรงพยาบาลทันทีเลย ที่ผมประทับใจเพราะไม่ใช่แค่คนเดียว แต่ตามลงไปกันถึง 5-6 คนเลยนี่แหละครับ ทั้งที่ดูแล้วไม่ได้รู้จักเลยด้วย

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมก็ประทับใจไม่ลืมอีกอย่างก็คือ การขับรถครับ คนไอซ์แลนด์ขับรถได้แบบว่า​นะ น่าบ่นมากครับ เพราะขับแบบกระโชกโฮกฮาก ขับไม่เร็วแต่ขับแบบกระตุก คนที่ยืนบนรถเมล์จะหัวคว่ำอยู่หลายหน และตอนเลี้ยวก็ไม่ค่อยดูขอบถนน ล้อเกยขึ้นมาบ่อยครั้ง ถ้าเป็นนอกเมืองหรือบนไฮเวย์ทางตรงอาจจะไม่ค่อยได้สังเกต แต่พอเข้ามาในเมืองนี่ เห็นอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนกันตรงสี่แยกอยู่เกือบจะทุกวันเลยครับ แต่ทั้งนี้ ทุกคันก็ยังหยุดให้กับคนข้ามถนนตามกฎจราจรอยู่นะครับ

4_0_C

ภาพในข้อความก่อนหน้ากับภาพนี้ ถ่ายวันเดียวกันครับ ตอนนี้ฟ้าเปิดแล้ว เมฆเริ่มถูกพัดไป บ้านหลังนี้เป็น summer house หรือบ้านตากอากาศสำหรับหน้าร้อนครับ เลยไม่มีคนอยู่ในช่วงนี้ วิวสวยมากๆ

4_0_D

ภาพนี้ เป็นภาพที่พบเห็นได้บ่อย ในวันที่หิมะหรือลูกเห็บลงครับ ฟ้าจะขมุกขมัวจนมองอะไรไม่เห็น ที่เห็นเป็นแถบดำๆ ด้านล่าง คือรอยล้อรถยนต์ที่วิ่งผ่านลูกเห็บที่กองหนา ส่วนเลยจากก้อนหินขึ้นไป จริงๆ ต้องเห็นน้ำทะเลและภูเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามครับ

4_0_E

ส่วนสามภาพนี้เป็นภาพวิวมุมกว้างครับ ภาพแรกนี้ถ่ายจากส่วนชมวิวที่อาคาร Perlan ที่แนะนำในหัวข้อ 1.3 ครับ เดินได้รอบทิศ 360 องศาเลย อันนี้มองไปยังใจกลางเมืองครับ

4_0_F

ภาพนี้ ถ่ายระหว่างที่เดินตามเส้นทาง hiking นอกตัวเมืองเรคยาวิกครับ ดูสงบเงียบ แทบจะไร้ผู้คน ใกล้ๆ กันนี้ มีฟาร์มเลี้ยงม้าอยู่ด้วย

4_0_G

และภาพมุมกว้างภาพสุดท้าย ถ่ายจากบริเวณใกล้กับร้านอาหารเอธิโอเปีย Teni ที่แนะนำไปในหัวข้อ 3.3 ครับ

 

ปิดท้ายบทความด้วยภาพจากท้องถนนทั้งในกรุงและนอกกรุงเรคยาวิกครับ

5_5_A

5_5_B

5_5_C

5_5_D

5_5_E

และสุดท้ายนี้ขอใช้ภาพภูเขา เอสย่า (Esja) ยามพระอาทิตย์ตกเพื่อยืนยันว่า กรุงเรคยาวิค ประเทศไอซ์แลนด์นั้นสามารถมาเที่ยวได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีเพียงแสงเหนือเท่านั้นครับ รับรองได้ว่าเมืองเล็กๆ แห่งนี้ มีทั้งประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, สถานที่ท่องเที่ยว และธรรมชาติที่น่าสนใจ รอคอยให้คุณมาสัมผัสและค้นหากันครับ

5_5_F


5. เกร็ดน่ารู้อื่นๆ

ส่วนเกร็ดความรู้อื่นๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์ เท่าที่ผมอ่านมาระหว่างที่เดินทางไปไอซ์แลนด์ ได้แก่

5.1 ความรู้ทั่วไป

ประเทศไอซ์แลนด์แห่งนี้ มีความน่าสนใจในหลายเรื่องนอกเหนือจากธรรมชาติที่สวยงามครับ อย่างเช่น

– การศึกษา ประชากรกว่า 30% จบการศึกษาระดับตั้งแต่ปริญญาขึ้นไป เป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก แม้จะเทียบกับประเทศในกลุ่ม OECD ด้วยกัน

– เครือข่ายอินเตอร์เน็ตครอบคลุม กว่า 90% ของที่อยู่อาศัยในไอซ์แลนด์ เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต

– มีวัฒนธรรมที่ยึดหลักประชาธิปไตยและความเสมอภาคมายาวนาน เห็นได้ชัดจากสภา Alþing ที่มีมาตั้งแต่ปี 930 หรือพันกว่าปี และรัฐธรรมนูญของไอซ์แลนด์นั้นเปิดให้ประชาชนทุกคน ไม่เฉพาะเพียงแต่สมาชิกผู้แทนราษฎรเท่านั้น สามารถเสนอแก้ไข และลงคะแนนอนุมัติได้ทางออนไลน์ เป็นประเทศแรกในโลก

แต่เห็นความก้าวหน้า หัวสมัยใหม่อย่างนี้ มีสิ่งหนึ่งที่ดูขัดกันอย่างมากครับ

นั่นคือ ผลสำรวจโดยมหาวิทยาลัยไอซ์แลนด์พบว่าชาวไอซ์แลนดิกกว่าครึ่ง (37% เชื่อว่าเป็นไปได้, 17% เชื่อว่าน่าจะมีอยู่จริง และ 8% เชื่อมั่นว่ามี) เชื่อว่าเอลฟ์มีตัวตน (คำว่า elf ในภาษาไอซ์แลนดิกเรียกว่า ฮุลดูโฟล์ค – huldufólk หรือ hidden people มนุษย์ล่องหน)

และไม่เพียงเท่านี้ เวลาที่โครงการก่อสร้างถนนหรือสิ่งปลูกสร้าง หากพบว่าผู้ที่อาศัยบริเวณใกล้เคียงนั้นเชื่อว่า ณ ที่แห่งนั้นมีเอลฟ์อาศัยอยู่ใต้ดิน ทางผู้รับเหมาจะต้องพิจารณาตัดทางอ้อมไปเพื่อไม่ให้ไปรบกวนเหล่าเอล์ฟ

ผลสำรวจอ้างอิงจากข่าวนี้ http://gawker.com/5841584/a-majority-of-icelanders-believe-in-the-existence-of-elves ครับ

ส่วนข่าวเรื่องย้ายถนน อ้างอิงจาก www.bbc.com/news/magazine-27907358

เพราะฉะนั้นเวลาเดินทางไปเที่ยวในไอซ์แลนด์ ก็อย่าเผลอไปลบหลู่สถานที่ที่คนท้องถิ่นเค้าเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของเอลฟ์ หรือไปหัวเราะเยาะเวลาเค้าพูดถึงกัน เพราะไม่แน่ว่าคนที่เราพูดคุยด้วยอาจจะเชื่ออย่างจริงๆ เดี๋ยวจะผิดใจกันเปล่าๆ ครับ

จากธรรมชาติรอบตัวที่น่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นป่าสนสูงใหญ่, ภูเขาไฟที่พร้อมระเบิดทุกเมื่อ, น้ำพุร้อน และอื่นๆ อีกมาก คงจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวไอซ์แลนดิกเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาตินะครับ ไม่แน่ว่าเอลฟ์อาจจะแฝงตัวอยู่ตามต้นไม้ในภาพก็เป็นได้ ใครจะรู้ จริงไหมครับ

5.2 ภาษา

– ภาษาไอซ์แลนดิกนั้น เก่าแก่และถือว่าคงลักษณะดั้งเดิมไว้ได้มากกว่าภาษาอื่นๆ ในแถบนอร์ดิกด้วยกัน เริ่มแรกนั้นชาวไวกิ้งจากนอร์เวย์และชาวเคลต์จากเกาะอังกฤษมาปักหลักที่ไอซ์แลนด์และใช้ภาษานอร์สโบราณในการสื่อสาร โดยเอกสารที่เก่าแก่ที่สุดที่ปรากฏว่าใช้ภาษาไอซ์แลนดิกโบราณนั้นย้อนกลับไปถึงช่วงปี 1100 ก่อนคริสตกาล จากนั้นมา ประเทศไอซ์แลนด์ถูกนอร์เวย์ และตามมาด้วยเดนมาร์กปกครอง จึงได้รับอิทธิพลทางภาษาเหล่านี้มาบางส่วน เช่น ถูกบังคับให้เรียนภาษาเดนิชในโรงเรียน (ปัจจุบัน บางโรงเรียน ยังมีหลักสูตรบังคับอยู่ ในขณะที่หลายโรงเรียนก็เป็นเพียงวิชาเลือก เช่นเดียวกับภาษาเยอรมัน, ฝรั่งเศส)

หลังจากที่ประเทศไอซ์แลนด์ประกาศอิสรภาพจากเดนมาร์ก ในปี 1918 (ก่อนที่จะล้มล้างระบบกษัตริย์ในปี 1944 ปัจจุบันมีประธานาธิบดีเป็นผู้บริหารประเทศสูงสุด) ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาก็ได้ปฏิรูปภาษาไอซ์แลนดิกโดยหันกลับไปยึดเอาภาษานอร์สโบราณเป็นต้นแบบ ซึ่งเอกสารที่มีลักษณะภาษาคล้ายกับภาษาที่ใช้ในปัจจุบันนั้นยังสามารถพบได้ใน ตำนานไอซ์แลนดิก (Icelandic Sagas) ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 12 ครับ

– อักษรภาษาไอซ์แลนดิกที่แตกต่างจากภาษาอังกฤษนั้น ได้แก่ Á (ออ), Ð ð (dh หรือ ด, ท), É (เย), Í (อี), Ó (อุ), Ú (อู), Ý (อี), Þ þ (th หรือ ธ), Æ (เอ) และ Ö (เออ) โดยที่ไม่มีอักษร C, Q, W และ Z ยกเว้นเวลาสะกดคำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศอย่างคำว่า pizza ครับ

เรื่องตัวสะกดและวิธีอ่านนี้อาจจะเป็นประโยชน์ในการอ่านออกเสียงชื่อถนนเวลาจะซื้อตั๋วหรือถามทางได้นะครับ

– จากการที่ได้ยินได้ฟังผู้คนบนท้องถนน และตามวิทยุโทรทัศน์ ภาษาไอซ์แลนดิกฟังดูนุ่มหู ไม่กระแทกเสียงลงหนักเหมือนอย่างภาษาเยอรมัน แม้ต้นภาษาจะมีรากเยอรมันนิกเหมือนกันก็ตามครับ ถ้าฟังเผินๆ ออกจะคล้ายกับภาษาตุรกี (โดยไม่มีเสียง อึม, อิม) และรัวลิ้นสำหรับตัว ร เรือ นั้นเบากว่าภาษาสแปนิชครับ

– ด้วยความที่ไอซ์แลนด์ต้องการรักษาเอกลักษณ์ทางภาษาไว้ได้มากที่สุด ราชบัณฑิตที่ทำหน้าที่กำกับดูแลคำศัพท์นั้น จะพิจารณาประดิษฐ์คำเพื่อใช้แทนคำภาษาต่างประเทศขึ้นมาใหม่ ในลักษณะคล้ายกันกับคำประดิษฐ์ของไทย ดังนั้น คำอย่างโทรศัพท์ ภาษาไอซ์แลนดิกก็จะเรียกว่า ซิมิ (sími) หรือคณิตกร (คอมพิวเตอร์) ก็เรียกว่า เทิลว่า (tölva) ซึ่งผสมมาจากคำว่า ทาลา (tala ที่แปลว่าตัวเลข) และ เวิลว่า (völva ที่แปลว่าแม่มด) เพราะฉะนั้นคอมพิวเตอร์ก็คือแม่มดที่เล่นกลกับตัวเลขนั่นเองครับ

5.3 สระว่ายน้ำ

วัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่นักท่องเที่ยวทุกคนควรมาสัมผัส คือ การแช่น้ำร้อนในสระว่ายน้ำหรือตามบ่อน้ำร้อนตามธรรมชาติครับ ประเทศเล็กๆ อย่างไอซ์แลนด์นี้ มีจำนวนสระว่ายน้ำต่อประชากรสูงที่สุดในโลก และการไปสระว่ายน้ำถือเป็นกิจวัตรที่ปฏิบัติกันทุกเพศทุกวัย ทุกฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาว แทบจะเรียกได้ว่าสระว่ายน้ำนี้เป็นอีกสถาบันหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้ โรงเรียน, บ้าน เลยทีเดียวครับ

จากปากคนไอซ์แลนดิกเอง บลูลากูน (Blue Lagoon) ที่เป็นที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของไอซ์แลนด์นั้น มีราคาแพงไป และพวกเขาก็ไม่ค่อยจะได้ไปแช่ตัวที่นั่นกันเท่าไหร่ แต่จะแวะเวียนไปที่สระว่ายน้ำที่กระจายอยู่ใกล้ๆ บ้านมากกว่า ดังนั้น หากอยากไปสัมผัส (เอ่อ แต่ไม่ต้องไปแตะเนื้อต้องตัวใครนะครับ) วิถีชีวิตของคนท้องถิ่นจริงๆ ก็แวะไปตามสระว่ายน้ำได้ครับ ราคาประหยัดดีด้วย

เว็บนี้ มีรีวิวและเรตคะแนนของสระว่ายน้ำในเรคยาวิกให้ได้เลือกอ่านกันครับ

http://grapevine.is/travel/travel-featured/2015/04/07/every-swimming-pool-in-the-greater-reykjavik-area-rated/

ผมไปที่ Breiðholtslaug มา แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วยนะครับ และสังเกตว่า

– สระว่ายน้ำไม่ได้ไว้สำหรับว่ายน้ำจริงๆ จังๆ จะเห็นว่าโดยมากแล้ว จะเกาะกลุ่มกันไปนั่งแช่อ่างน้ำร้อนแทนเสียมากกว่า

– สระใหญ่ตรงกลางมีอุณหภูมิราว 25-29 องศา และล้อมรอบด้วยบ่อขนาดไม่ใหญ่ราว 4-5 บ่อ นั่งรอบวงกันได้ประมาณ 10 คนหรือน้อยกว่า และน้ำอุณหภูมิต่างกันไป สูงสุดถึง 40 กว่าองศา ซึ่งร้อนมากครับ

– การเข้าใช้งาน คือ จ่ายค่าเข้าก่อนตรงทางเข้า เราก็จะได้กุญแจล็อกเกอร์เก็บของที่คล้องมากับสายยาง เพื่อให้เราสามารถหยิบติดตัวหรือพันข้อมือข้อเท้าตอนใช้สระได้

– หลังจากได้กุญแจมาแล้วก็เอาเสื้อผ้าไปเก็บในล็อกเกอร์ในห้องเปลี่ยนเสื้อ แยกตามเพศ ซึ่งก็โล่งโจ้งทั้งพื้นที่ ทั้งคนใช้งานที่จะต้องผลัดเสื้อผ้าออกหมดครับ เพราะจะต้องผ่านด่านอาบน้ำชำระร่างกาย เพื่อสุขอนามัยของส่วนรวม ก่อนจะใส่กางเกงว่ายน้ำแล้วเดินออกไปยังส่วนของสระ

– ปกติแล้ว จะเริ่มจากบ่อที่ร้อนสุดเท่าที่จะทนรับได้ก่อนครับ ตอนที่เดินไปลงบ่อนั้น อากาศด้านนอกจะเย็นยะเยือกเลย แต่พอเท้าแตะน้ำเท่านั้นแหละครับ แทบจะรีบชักกลับไม่ทันเลย ก็ต้องฝืนลงไปครับ ทรมานไปได้สักเกือบนาที ทีนี้ ร่างกายและกล้ามเนื้อต่างๆ ก็จะเริ่มผ่อนคลาย ก็นั่งแช่ไปสักหน่อยครับ พอเริ่มทนไม่ไหว ก็ลุกไปแช่น้ำสระตรงกลาง ก็จะอุณหภูมิพอดีๆ

– ถ้าสระแห่งนั้น มีห้อง steam bath หรือ sauna ก็ลองใช้ดูครับ เข้าไปนั่งร้อนๆ แทนที่จะแช่ตัวในน้ำร้อน พอออกมาก็จะต้องล้างตัวด้วยน้ำฝักบัวข้างๆ ก่อนลงสระหรือบ่อนะครับ สำคัญมาก เพราะร่างกายเราโชกไปด้วยเหงื่อระหว่างที่อยู่ในห้องซาว์น่า ไม่งั้น อาจจะโดนมองค้อนเอาได้

– ก็สลับไปมาล่ะครับ จะบ่อน้ำร้อน, สระ, หรือนั่งพักเอนกายเฉยๆ ตรงเก้าอี้ที่จัดไว้ให้ก็ได้ เมื่อหนำใจแล้ว ก็อาบน้ำให้ทั่วแล้วก็ทาโลชั่นกันผิวแห้ง และใส่เสื้อผ้ากลับมาครับ ข้อสำคัญ พยายามเดินหาดูด้วยครับว่า มีเครื่องเป่าแห้งหรือเปล่า ปกติจะเป็นเครื่องคล้ายๆ เครื่องเป่ามือ แต่มีเป็นหลุมไว้สำหรับเอากางเกงหรือชุดว่ายน้ำใส่ลงไป แล้วปิดฝา เพื่อปั่นให้แห้ง สะดวกดีครับ ไม่งั้นกระเป๋าเปียกด้านใน เหม็นอับพอดี พอเราเดินออกมาด้านนอกที่อุณหภูมิหนาวเย็นนั้น สิ่งหนึ่งที่จะรู้สึกกันทุกคนก็คือ ร่างกายดูอุ่นกว่าปกติ ไม่รู้สึกหนาวมากครับ เป็นความรู้สึกผ่อนคลายที่ดีจริงๆ ครับ

– ที่เรียกสระว่ายน้ำว่าเป็นอีกหนึ่งสถาบันหลักของไอซ์แลนด์ เพราะในระหว่างที่แช่ตัวนั้น ถ้าสังเกต ก็จะเห็นว่ามีผู้คนทุกวัยจริงๆ ครับ ตั้งแต่เด็กเล็กยันผู้สูงอายุ ที่มาคุยกันกับเพื่อน เสวนาในบ่อแทนที่จะเป็นร้านกาแฟแบบบ้านเรา การได้พูดคุยกันอย่างเปิดอกในบรรยากาศที่ผ่อนคลายนั้น กระชับความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและวงสังคมได้เป็นอย่างดี และทุกคนอยู่ในสถานะที่เสมอภาคกัน (คือเหลือแค่ชุดว่ายน้ำเท่านั้น) ไม่มีแบ่งแยกชนชั้น จึงจะเห็นได้ว่าประเทศไอซ์แลนด์นั้นขึ้นชื่อในเรื่องความเท่าเทียม ไม่ค่อยมีระเบียบขั้นตอนซับซ้อนหลายขั้น การบริหารงานบริษัทหรือประเทศก็ค่อนข้างจะเป็นแนวราบ (flat hierachical society) ส่วนหนึ่งก็น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากการเปิดใจในสระว่ายน้ำเหล่านี้นี่เองครับ

5.4 วัฒนธรรมการดื่มแอลกอฮอล

– ร้านอาหารในไอซ์แลนด์จำเป็นต้องมีใบอนุญาตจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล และร้านสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตจะไม่มีจำหน่ายแอลกอฮอลที่เกินกว่า 3.5% ดังนั้น หากต้องการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอลนั้น คุณจะต้องไปที่ร้านผูกขาดของรัฐที่ชื่อ วินบูดิน (Vínbúðin หรือ the Wine Shop) ซึ่งเป็นร้านของ เอเฟนกิส ออก โทบักสแวร์สลุน ริคิซินส์ (Áfengis- og tóbaksverslun ríkisins หรือ the State Alcohol and Tobacco Company of Iceland – ÁTVR) ซึ่งมีเวลาเปิดปิดที่จำกัด โดยเฉพาะวันอาทิตย์ที่ปิดทุกแห่งนะครับ ต้องไปพึ่งร้านอาหารหรือบาร์ที่เสิร์ฟแทน ซึ่งราคาจะแพงกว่าร้านวินบูดิน

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะรัฐต้องการควบคุมปริมาณการดื่มแอลกอฮอลของชาวไอซ์แลนดิกครับ ซึ่งด้วยเลือดไวกิ้งผสมกับไอริชที่มีอยู่ในตัว ทำให้เคยเป็นปัญหาระดับชาติมาแล้ว จนถึงขั้นว่ารัฐประกาศแบนไม่ให้จำหน่ายเบียร์ทั้งประเทศตั้งแต่ปี 1915 จนถึงวันที่ 1 มีนาคม 1989 หรือยี่สิบกว่าปีก่อนนี้เอง ดังนั้นวันที่ 1 มีนาคมของทุกปีจึงถูกกำหนดให้เป็นวันเบียร์ของประเทศไอซ์แลนด์ครับ

– ส่วนถ้าอยากลองเครื่องดื่มแบบชนัป (schnapp) หรืออะควาวิท (aquavit) เฉพาะตัวของไอซ์แลนด์ ต้องลองเบรนนิวิน (brennivín) ที่ผลิตจากมันฝรั่งและเครื่องเทศคล้ายยี่หร่าที่ชื่อ คาราเวย์ (caraway) ครับ โดยมากแล้วจะแรงขนาด 37.5 ดีกรีขึ้นไป วิธีดื่ม ก็เสิร์ฟมาในแก้วช็อต และมักจะดื่มกับเนื้อฉลามหมัก (ถ้าเป็นไปได้อย่าลองฉลามเลยครับ เหม็นและไม่อร่อยอย่างแรง คาดว่าคล้ายๆ กันกับปลาร้าบ้านเราที่ชาวต่างชาติไม่ชอบเหมือนกัน ต้องทานบ่อยๆ จนชินและติดใจในภายหลัง)

5.5 อื่นๆ

– หากมีแผนเดินทางจากยุโรปไปอเมริกา อาจจะลองจองตั๋วบินกับไอซ์แลนด์แอร์ (Icelandair) เพื่อแวะพักระหว่างทาง (stopover) ที่ไอซ์แลนด์ได้สูงสุด 7 วันเลย เหมาะสำหรับเที่ยวช่วงสั้นๆ ดีครับ และพยายามจองที่นั่งติดหน้าต่าง เพื่อจะได้มองวิวสวยๆ ขณะที่บินเหนือน่านฟ้าประเทศไอซ์แลนด์ครับ

– หากต้องการประหยัดค่าที่พักและค่าเดินทาง อาจลองใช้วิธีพักกับเคาช์เซิฟเวอร์ (couchsurfing.com) ที่จะได้ทำความรู้จักกับคนท้องถิ่นไปในตัวด้วย แต่อาจจะต้องวางแผนล่วงหน้า เพื่อให้โฮสต์ตอบรับให้เราเข้าพัก ในหลายครั้ง ก็มีเคาช์เซิร์ฟเวอร์ที่ประกาศหาผู้ร่วมทริปหารค่ารถไปด้วย ก็ได้ทั้งเพื่อนใหม่และประหยัดค่าเดินทางดีครับ นอกจากนี้ หากอยากลองผจญภัยหน่อย ก็อาจจะขออาศัยรถด้วยการโบก (hitchhiking) เพื่อไปลงตามที่ต่างๆ ที่วางแผนก็ได้ครับ ประเทศนี้สามารถโบกรถได้ค่อนข้างง่าย อาจจะเพราะคุ้นชินกับนักท่องเที่ยวต่างชาติกันอยู่แล้วก็เป็นได้

– หากต้องการเช่ารถไปเอง ก็ลองเช็คราคาจาก http://guidetoiceland.is เป็นไกด์ราคาดูได้ครับ หากต้องการขับไปในเส้นทางที่ผจญภัยหรือนอกถนนปกติ ก็แนะนำให้เช่ารถ 4×4 ที่พร้อมกับสภาพถนนทุกประเภทนะครับ และหมั่นตรวจสอบสภาพอากาศและคำเตือนจากเว็บทางการ http://safetravel.is บ่อยๆ เพราะจะมีคำเตือนว่าเส้นใดที่ปิดซ่อมหรือมีหิมะถล่ม หรือภูเขาไฟที่ไหนคุกรุ่นเป็นอันตรายหรือไม่ อย่าประมาทเชียวครับ

– เช็คสภาพอากาศจากเว็บไซต์ทางการได้ที่ http://en.vedur.is/weather/forecasts/areas/ เพื่อวางแผนการเดินทางในแต่ละวันครับ แม้ว่าสภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลงบ่อยมากก็ตาม แต่อย่างน้อยก็จะได้มีไอเดียว่าวันรุ่งขึ้นควรเที่ยวด้านนอกหรือเที่ยวในอาคารเพื่อหลบหนาวแทน

– เทคนิคการเดินบนหิมะ โดยเฉพาะในช่วงที่อุณหภูมิอยู่ราวๆ -2 ถึง 2 องศาที่พื้นลื่น (หากเห็นว่าพื้นเป็นน้ำแข็งใสๆ ให้ระวังให้มาก

เพราะจะยิ่งลื่นมากครับ) คือ ใส่รองเท้าที่ดอกยางลึกๆ อย่างรองเท้าบูตของทหาร หรือรองเท้าเดินป่า และเดินตัวตรงหรือก้มตัวและโน้มศีรษะไปด้านหน้ามากหน่อย ในลักษณะคล้ายเพนกวิน เพื่อให้ศูนย์ถ่วงร่างกายอยู่ด้านหน้ามากกว่าด้านหลังครับ

– หมายเลขฉุกเฉินของไอซ์แลนด์และแถบนอร์ดิกคือ 112 ครับ สามารถโทรฟรีจากโทรศัพท์ทุกเครื่อง ทุกเครือข่าย แม้จะเป็นมือถือจากไทยก็ตาม

Viroj currently works as a researcher within international economics at Lund University in Southern Sweden. A traveller with a burning passion for photography, he mainly takes photos with his medium-format digital camera, and now tries to limit his travel plans (with no success) to save up for a wide-angled lens. Viroj has a blond labrador retriever named Molly, who loves swimming at the beach near his home in Copenhagen, Denmark.

4 Comments

  • Wyn

    เขียนเก่งมากครับ ขอบคุณสำหรับลายแทง และความรู้

    • Benzey

      ชอบวง Sigur Rós มากค่ะ นั่งหาตั้งนานว่าชื่อวงอะไร เพราะเคยฟังนานแล้ว แล้วก็หลงรัก จำได้รางๆว่ามาจากประเทศไอซ์แลนด์ ก็เลยค้นหามาเรื่อยๆ จนมาเจอกระทู้นี้ ขอบคุณนะคะ ^_^ พอได้อ่านจนจบ เกิดแรงบัลดาลใจให้อยากไปตามรอยแบบที่คุณทำบ้าง เขียนรีวิวได้ดีมากๆ ภาพก็สวยมากเช่นกันค่ะ

  • Viroj

    ขอบคุณที่สนใจบทความนะครับ ประเทศนี้นี่มีอะไรน่าสนใจทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรมเยอะมากเลยครับ ยินดีที่ช่วยทำให้คุณ Benzey จำชื่อวงได้นะครับ

  • Supamas

    กำลังหาร้านอาหารอยู่เลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะสำหรับข้อมูลดีๆ

Comments are closed.

Magazine made for you.