ท่องนครหลากสีที่ ‘ราชาสถาน’

พูดถึงคำว่า ‘ราชาสถาน’ หลายๆคนอาจจะงงๆ ว่ามันคือเส้นทางไหน มีทั้งหมดกี่เมือง มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ซึ่งถ้าจะให้มาเล่ากันจนครบถ้วนกระบวนความแล้วล่ะก็ อาจจะใช้เวลานานแรมเดือน เอาเป็นว่าจริงๆ แล้ว ราชาสถานนั้นถือว่าเป็นรัฐ ซึ่งประกอบไปด้วยเขตถึง 33 เขตด้วยกัน แต่สถานที่หรือเมืองหลักๆ ที่เรามักไปเยี่ยมเยียนกันก็จะมี จัยปูร์ (Jaipur) จ๊อดปูร์ (Jodhpur) จัยแซลเมียร์ (Jaisalmer) บิคาเนอร์ (Bikaner) อุไดปูร์​ (Udaipur) โดยส่วนมากก็จะแวะไปเที่ยว อัครา (Agra) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่าง ทัชมาฮาล (Taj Mahal) อีกด้วย

ในการเดินทางครั้งนี้ทาง Nikon Thailand ใจดีให้ยืมกล้อง Nikon D500 ซึ่งเป็นกล้องตัวท๊อปของไลน์ APS-C sensor (หรือที่เรียกกันว่ากล้องตัวคูณนั่นแล) พร้อมเลนส์อีกมากมายอย่าง AF-S NIKKOR 10-24mm f/3.5-5.4G ED, AF-S NIKKOR 16-80mm f/2.8-4E ED VR, AF-S NIKKOR 70-200mm f/2.8E FL ED VR และ AF-S NIKKOR 20mm f/1.8G ED ไปให้ได้ทดลองใช้กัน จุดเด่นหลักๆของ Nikon D500 ที่ผมสัมผัสได้ ก็คือ ตัวกล้องที่บึกบึนดูแข็งแรงทำให้สามารถจับได้เต็มไม้เต็มมือมากๆ รวมถึงระบบโฟกัสอันรวดเร็วและมีจุดโฟกัสที่มากถึง 153 จุด ครอบคลุมพื้นที่ของช่องมองภาพที่ปกติมักจะไปกระจุกอยู่ที่ส่วนกลางภาพแต่ของ D500 นั้น กระจายออกมาถึงขอบด้านข้าง เรียกว่ายกของจุดเด่นของ D5 กล้อง Flagship ตัวท๊อปสุดของ Nikon มาย่อลงในบอดี้ตัวคูณอย่าง D500 ถือว่าเป็นการยกระดับระบบโฟกัสขึ้นมาเป็นอย่างมากเลยทีเดียว แถมยังมีคุณสมบัติเจ๋งๆ อีกมากมายเช่น ถ่ายต่อเนื่องได้ถึง 10 ภาพ/วินาที (สายสปอร์ตต้องถึงกับกรี๊ด) หน้าจอพับได้ก็ทำให้มีโอกาสเก็บภาพมุมมองแปลกๆ ได้ง่ายขึ้น การส่งภาพถ่ายสู่อุปกรณ์อย่างมือถือหรือแทบเล็ตก็ทำได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะใช้ เทคโนโลยีบลูทูธแทนที่จะใช้ Wifi เหมือนในรุ่นอื่นๆ ทำให้เราส่งรูปแล้วอัพขึ้นโซเชี่ยลได้อย่างทันที ด้วยแอพพลิเคชั่น Snapbridge แถมยังเพิ่มเติมในส่วนของการถ่ายวีดีโอให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย อย่างเช่น รองรับการถ่าย 4K แต่ในส่วนของรายละเอียดเชิงลึกแนะนำให้ลองไปศึกษาเพิ่มเติมที่ www.nikon.co.th กันได้เลย แต่บอกไว้ก่อนอ่านมากๆ ระวังกระเป๋าตังค์จะสั่นนนนนน

กล้อง D500 แค่เพียงถือไม่ต้องถ่ายก็หล่อ

กลับมาที่การเดินทางของเรากันดีกว่า ในทริปนี้เราตั้งต้นกันที่เดลี (แต่ไม่ได้เที่ยวเดลีนะ) แล้วไปจบที่อุไดปูร์ โดยผ่านเมืองต่างๆ ดังนี้ เดลี อัครา จัยปูร์ พุชการ์ บิคาร์เนอร์ จัยแซลเมียร์ จ๊อดปูร์ รนัคปูร์ และ อุไดปูร์ ใช้เวลาทั้งหมด 9 วัน การท่องเที่ยวในเส้นนี้ส่วนมากถ้าไปกับทัวร์ก็จะใช้รถบัสในการเดินทาง ถ้าไปกันเอง 2-4 คนก็อาจจะเหมารถเก๋งนั่งกันไปยาวๆ พอไปสุดทางที่ อุไดปูร์ ก็ขึ้นสายการบินภายในประเทศกลับมาที่เดลี ก็เรียกว่าครบเส้นราชาสถาน เฉลี่ยการเดินทางจากเมืองนึงไปยังอีกเมืองนึง จะมีระยะทางประมาณ 200-300 กิโลเมตร ต่อวัน (ตีเป็นชั่วโมงก็ 5-6 ชั่วโมงโดยเฉลี่ย) บางคนงง ปกติ 300 กิโล วิ่งทางไกลไม่น่าเกิน 3 ชั่วโมงก็น่าจะถึง แต่มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น! ทั้งถนนห่วย ทั้งรถติดที่ด่านเก็บเงิน ก็บวกเพิ่มไปอีก 2-3 ชม.ตามระเบียบ ด้วยความที่ลักษณะการเดินทางมันเป็นแบบนี้ เราจึงเสียเวลาส่วนมากไปกับการเดินทางอีกทั้งวิวข้างทางมันก็ไม่ได้น่าสนใจเหมือนกับการไป เลห์ ลาดักห์ ที่จะเอะอะลั่นชัตเตอร์ก็คงไม่ได้ ทริปนี้ส่วนมากเลยเป็นการเดินทางไปยังจุดหมายเพื่อเที่ยวถ่ายภาพ แล้วสายๆ ของวันรุ่งขึ้นก็เดินทางต่อไปอีกเมือง

เริ่มจาก New Delhi เดินทางตามทางลงมาเรื่อยๆ จนถึง Udaipur แล้วก็บินกลับ

ครั้นจะเล่าเรื่องให้ครบทุกเม็ดทุกเมืองที่ผมเดินทางไปก็เกรงว่าจะต้องมีสัก 10 บทความเห็นจะได้ ก็เลยขออนุญาตถ่ายทอดเป็นลักษณะบทความประกอบภาพถ่ายในสถานที่หรือเมืองที่สำคัญๆ น่าจะเหมาะกว่า โดยจากการที่ใช้สมองกลั่นกรองและพิจารณามาแล้วว่าผมจะพูดถึง 4 เมืองหลัก ที่มีชื่อเล่นน่ารักๆ สดใสๆ เหมือนกับผม อย่าง นครสีชมพู นครสีฟ้า นครสีทอง และ นครสีขาว ฮั่นแน่! มันน่าสนใจมากเลยล่ะสิ งั้นเราไปเยี่ยมเมืองต่างๆเหล่านั้นกันเลยดีกว่า!

จัยปูร์ (Jaipur) นครสีชมพู

จริงๆก่อนหน้าที่เราจะมาถึง จัยปูร์ เราไปแวะนอนและเที่ยวกันที่เมืองอัครา ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญอย่าง “ทัช มาฮาล” แล้วเราได้ถ่ายรูป ทัช มาฮาล  มากันหรือเปล่า? เดี๋ยวรอไปดูในส่วนเก็บตกท้ายบทความกันนะครับ จัยปูร์ ถือว่าเป็นเมืองหลวงของรัฐราชาสถานก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่สุดในแคว้นราชาสถาน มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆหลักๆอยู่มากมาย แต่ที่เราจะไปเยี่ยมกันเน้นๆ ก็คือ

อาเมร์ฟอร์ท หรือ แอมเบอร์ฟอร์ท (Amber Fort) อยู่ห่างจากเมืองชัยปุระไปทางทิศเหนือประมาณ 11 กิโลเมตร มีตำแหน่งอยู่บนเนินเขาสูง เปิดให้เข้าชมเวลา 8.00 – 17.30 น. ใครอยากถ่ายรูปตัวป้อมมีแสงฉาบอ่อนๆ แนะนำให้มาช่วงเช้าก่อนเวลาป้อมเปิด ถ่ายวิวข้างนอกจนพอใจแล้วป้อมก็เปิดให้เข้าเยี่ยมชมพอดี อ้อ ลืมบอกไปว่าเมืองในรัฐราชาสถานที่เราจะไปเยือนกันนั้น แต่ละเมืองส่วนมากจะมีป้อมมีพระราชวังเป็นของตัวเองกัน ดังนั้นจึงเรียกว่า ทริปนี้เป็นทริปไปเที่ยวป้อมย่องเข้าวังกันน่าจะเหมาะกว่า

การที่เราจะขึ้นไปที่ป้อมนั้นสามารถทำได้หลายหลากวิธี ไม่ว่าจะเป็น เดิน วิ่ง กลิ้ง หรือ นั่ง ถ้าจะนั่งก็เลือกได้ว่าจะนั่งรถจี๊ป หรือ นั่งช้าง แต่ไหนๆมาแล้วแนะนำให้นั่งช้าง น่าจะได้บรรยากาศเสมือนกับเราเป็นพระราชากัน ส่วนผมเลือกขึ้นจี๊ปเพราะจะไปถ่ายคนนั่งช้าง คริคริ สนนราคาค่านั่งช้าง ก็ตกเชือกละ 1000 รูปี (นั่งได้สองคนจริงๆนั่งได้ถึง 4 คนแต่อย่าเลยสงสารช้างงงงง) ข้างในฟอร์ทจะมีการแบ่งซอยออกเป็นโซนและห้องต่างๆ ที่มีสถาปัตยกรรมภายในเป็นการผสมผสานระหว่างราชปุตกับโมกุล ใช้เวลาเดินเที่ยวก็น่าจะซัก 1-1.5 ชั่วโมง หากใครเน้นถ่ายภาพ ก็อาจจะเผื่อไปอีกเป็น 2 ชั่วโมงก็น่าจะพอ

ใครที่อยากได้ภาพสาวชาวเมืองใส่ชุดสีเหลืองสดพร้อมไม้กวาด ก็ต้องใช้กำลังภายในกันหน่อย ภายในกระเป๋าตังค์นะ ซัก 50 – 100 รูปีกำลังดี เธอเหล่านี้จะเรียกว่าเป็นพนักงานทำความสะอาดของที่นี่ก็ได้ แต่มีอาชีพเสริมเป็นนางแบบคอยชักชวนนักท่องเที่ยวให้มาถ่ายรูปเธอ แต่ก็นะไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ถ่ายเสร็จแบมือขอเงินตามระเบียบ

Dynamic Range ของ D500 ก็ไม่ธรรมดา ความเปรียบต่างแสงเยอะๆก็เอาอยู่

ฮาวา มาฮาล หรือ พระราชวังสายลม (Hawa Mahal) เป็นอาคารขนาด 5 ชั้น มีหน้าต่างฉลุช่องลมสีชมพูอมส้มถึง 953 ช่อง ตั้งอยู่บริเวณตลาดฮาวามาฮาลบาซาร์ (Hawa Mahal Bazaar) พระราชวังสายลมนี้ถ้ามาจากในเมืองที่เราพักกันนั้นจะถึงก่อนอาเมร์ฟอร์ท แต่ด้วยความที่ อาเมร์ฟอร์ท นั้นดูเหมือนจะใหญ่โตโอฬารกว่า เราเลยคิดว่าควรจะไปที่นั่นก่อน เพราะน่าจะต้องใช้เวลาเยอะ หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วแสงจะฉาบหน้าพระราชวังสายลมแค่ช่วงเช้าถึงสายเท่านั้น หากมาหลังเที่ยงแล้วล่ะก็ บรั๊ยยยยยยยย วังหน้ามืดแน่นอน หากมีไทม์แมชชีนก็คงจะดี กระซิกๆ

จุดถ่ายรูปที่แนะนำคือ ร้านขายจิวเวลรี่ตรงข้ามวังพอดิบพอดี ขึ้นไปด้านบนจะเป็นร้านคล้ายๆ คาเฟ่ ซึ่งตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรเลย บอกไกด์ให้เคลียร์ให้หน่อยเราจะไปถ่ายรูปกัน หากใครไปตรงจุดนี้ก็อุดหนุนน้ำหนมเค้าหน่อยละกันนะครับ

จัยแซลเมียร์ (Jaisalmer) นครสีทอง

จัยแซลเมียร์หรือ “นครสีทอง” ตั้งอยู่บนที่ราบสูงกลางที่ราบทะเลทรายธาร์ทางฝั่งตะวันตกสุดของรัฐราชาสถาน นครแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากหินทรายสีเหลือง เวลาโดนแสงอาทิตย์สาดส่องก็จะทำให้มีสีสันออกไปทางสีทองอร่ามดูเว่อร์วังมากๆ สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆที่เราจะไปถ่ายรูปกัน ก็จะมีดังนี้

ป้อมจัยแซลเมียร์ (Jaisalmer Fort) ป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาดูเด่นเป็นสง่ามากๆ เราเริ่มจากการไปถ่ายตัวป้อมในช่วงเวลาเย็นจนถึงค่ำกันก่อน ด้วยความที่เราเน้นการถ่ายภาพเป็นหลัก ถ้าเป็นทริปปกติส่วนมากก็คงไปเดินเล่นในเมืองกัน แต่เราไม่ ! เราตั้งที่หมายเป็นจุดชมวิวฝั่งตรงข้ามกับป้อมที่จะสามารถเห็นตัวป้อมได้ทั้งหมดและมีฉากด้านหน้าเป็นบ้านเรือนสีเหลืองทองเช่นกัน

ทะเลสาบกาดซิซาร์ (Gadsisar Lake) เป็นทะเลสาบเก่าแก่ประจำเมืองจัยแซลเมียร์แถมยังเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของเมืองอีกด้วย จุดเด่นที่สำคัญคือรอบๆ ทะเลสาบจะมีวัดและอนุสรณ์สถานเล็กๆ กระจายอยู่โดยรอบ ช่วงเวลาที่แนะนำในการไปถ่ายภาพที่นี่คือ ช่วงเช้าตั้งแต่ฟ้าเริ่มสางจนพระอาทิตย์ขึ้นสัก 8-9 โมง

คนส่วนมากมักมีปัญหากับการถ่ายเลียดน้ำ แต่ D500 มีจอพับ ถ่ายง่ายสบ๊ายยยยยย

ฮาเวลี หรือ คฤหาสน์เสนาบดี (Haveli) จริงๆ แล้วมีอยู่หลายแบบด้วยกัน แต่ถ้าเป็นแบบของจัยแซลเมียร์นั้นจะมีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งคนที่เป็นเจ้าของจะต้องทุ่มเงินมหาศาลในการที่จะสร้างมันขึ้นมาเพื่ออยู่อาศัย การใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นหินทรายสีทอง มีระเบียงหรือซุ้มยื่นออกมา รวมถึงการแกะสลักสวดลายลงบนหินแบบละเอียดยิบ จนอาจารย์ยิปมันยังต้องยอมรับ เพราะว่ามันยิบยับซะเหลือเกิน

แซมแซนดูนส์ หรือ สันทรายแซม (Sam Sand Dunes) อันนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์หนึ่งในทริปนี้เลยก็ว่าได้ ไม่ใช่ว่าวิวทิวทัศน์มันสวยงามหรือเว่อร์วังอะไรแบบนั้น แต่มันเป็นโลเคชั่นที่มือลั่นชัตเตอร์อย่างเราๆ อยากจะไปถ่ายรูปอูฐกับพระอาทิตย์ตก ซึ่งส่วนมากก็น่าจะนึกถึงภาพเงาดำหรือที่เรียกกันแบบอินเตอร์ๆ ว่า ซิลูเอท นั่นเอง แต่ใช่ว่านั่งรถแล้วจะไปถึงสันทรายได้เลย เราจะต้องนั่งอูฐหรือรถจี๊ปกันเข้าไปที่ตัวสันทรายด้วย เราเลือกนั่งอูฐเพราะเราจะเอาอูฐมาเป็นแบบไง ! สนนราคาค่าอูฐคือ 700 รูปี โดยที่อูฐกับคนดูแลจะอยู่กับเราตั้งแต่เริ่มเดินเข้าไปที่สันทราย จนพระอาทิตย์ตก ถ่ายรูปเสร็จก็พากันเดินกลับออกมา ใช้เวลาเดินไป-กลับ ประมาณ 1 ชม.​เศษ

ถ่ายอะไรที่เคลื่อนไหวบางทีก็ยาก แต่ D500 ถ่ายได้ 10 ภาพต่อวินาที อย่าไปคิดมากวางเฟรมแล้วรัวโลดดด

จ๊อดปูร์ (Jodhpur) นครสีฟ้า

จากจัยแซลเมียร์เรานั่งรถต่อมากันที่ จ๊อดปูร์ หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่า “โยธะปุระ” เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในรัฐราชาสถาน (อันดับหนึ่งคือ จัยปูร์) จุดเด่นของเมืองนี้คือ บ้านเรือนส่วนมากจะทาสีบ้านเป็นสีฟ้า ซึ่งปกติสมัยก่อนจะมีแค่ชาวฮินดูวรรณะพราหมณ์เท่านั้นที่ทาเพื่อแสดงให้เห็นถึงฐานะ แต่ต่อมาชาวบ้านมีความเชื่อกันว่าการทาบ้านสีฟ้าช่วยทำให้รู้สึกเย็น (ก็แน่ล่ะถ้าทาสีแดงก็คงร้อนกันทั้งเมือง) ก็เลยแห่ทากันแทบทั้งเมือง

ป้อมเมห์รานการห์ (Mehrangarh Fort) เป็นป้อมที่ตั้งอยุ่ใจกลางเมือง มีความยาวข้ามเขาถึง 125 ลูกด้วยกัน ด้านในป้อมมีทั้งพระราชวัง พิพิธภัณฑ์ วัดฮินดู และยังถือว่าเป็นจุดชมวิวเมืองที่สวยงามอีกด้วย หากใครชอบทั้งเดินเที่ยวและถ่ายภาพวิวแนะนำให้เผื่อเวลาที่นี่เยอะหน่อย เพราะในส่วนของพิพิธภัณฑ์เองก็ใช้เวลาค่อนข้างนานแล้ว จุดทีเด็ดของการถ่ายภาพ landscape มุมพระอาทิตย์ตกจะอยู่ตรงบริเวณวัดฮินดูซึ่งเรียกว่าอยู่ปลายทางก็ว่าได้ ใครเวลาน้อยอยากได้รูปวิวเมือง ก็แนะนำว่าหลังจากที่ผ่านทางเข้ามาแล้วให้เดินตรงรี่มายังวัดฮินดูก่อนเลย ก็จะเจอช่องหน้าต่างอยู่ 3 ช่อง เมื่อชะโงกหัวออกมามองก็จะพบกับวิวบ้านสีฟ้านับพับหลังเรียงรายอยู่เบื้องหน้า หากไปได้จังหวะเวลาที่ดีก็จะได้แสงสาดยามเย็นอีกด้วย น่าเสียดายทั้งตัวป้อมและตัววัดนั้นปิดเวลา 17.30 น. ใครหวังว่าจะเก็บแสงช่วงพลบค่ำรอไฟบ้านเปิดก็อาจจะคอตกอดถ่ายกันไป

ย้อนไปช่วงก่อนไปออกทริปนี้ เราได้ลองเปิดเน็ตหามุมสวยๆ ที่จ๊อดปูร์ สุดท้ายก็มาสะดุดกับรูปที่มีภาพอาคารสีขาวที่มีชื่อว่า จัสวันท์ ธาดา (Jaswant Thada) ด้านหลังเป็น เมห์รานการห์ฟอร์ท มันช่างดูลงตัวเสียนี่กระไร ดูจากทางแสงของรูปในเน็ตแล้ว น่าจะต้องมาตอนเช้า ดังนั้นจึงหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องมาเก็บแสงเช้าให้ได้ สืบความไปมา ประตูเปิด 9.00 โมงจ้า ส่ายหน้ากันไป เอาน่ะไหนๆก็มาแล้ว ยังไงก็ต้องไปเห็นมุมนี้กับตาให้ได้ ไปถึงตั้งแต่ก่อน 9 โมง แต่ต้องมานั่งรอไกด์ของสถานที่ สุดท้ายกว่าจะได้เข้าไป ก็ล่อไป 9.30 แสงยิ่งแข็งขึ้นไปอี๊กกกก มุมตรงนี้จะมาได้ก็ต้องซื้อบัตรเข้าในส่วนของสวน ซึ่งจะต้องมีไกด์นำเข้าไปพิเศษ เดินตามทาง เลาะเนินมาเรื่อยๆ จนถึงแนวกำแพงป้อม สูดหายใจลึกๆ แล้วหันหลังกลับไป รับรองร้องว๊าววววว

อุไดปูร์ (Udaipur) นครสีขาว

มาถึงเมืองสุดท้ายที่จะพูดถึงกันในบทความนี้ “อุไดปูร์” ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐราชาสถาน มีทั้งภูเขาโอบล้อม และมีทะเลสาบขนาดใหญ่อย่าง พิโคล่าเลค (Pichola Lake) ทำให้บรรยากาศโดยรวมถือว่าเหมาะแล้วที่จะเป็นเมืองที่เอาไว้ปิดท้ายทริปแบบชิลๆ  จากจ๊อดปูร์มาถึงอุไดร์ปูร์ใช้เวลาเดินทางไปค่อนข้างนาน รวมถึงเราต้องไปแวะวัดเชนแห่งรนัคปูร์ ซึ่งที่ว่าเป็นวัดที่มีความสวยงามทางสถาปัตยกรรมอย่างมาก ก็เลยมาถึงอุไดปูร์ซะค่ำเลย ไอ้ที่ว่าชิลๆ สงสัยจะไม่ค่อยชิลซะแล้ว เพราะว่ารุ่งขึ้นเราต้องไปถ่ายภาพวิวมุมสูงที่มองเห็นทั้งทะเลสาปและพระราชวังกัน ซึ่งในแต่ละเมืองของราชาสถานจะมีพระราชวังของแต่ละเมืองตั้งอยู่ แต่พระราชวังของเมืองนี้ถือได้ว่าเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในราชาสถาน การจะถ่ายภาพมุมสูงนั้นก็ต้องพยายามหาข้อมูลกันไป ตรงไหนขึ้นได้ขึ้นไม่ได้ สุดท้ายได้ความว่าจุดชมวิวที่น่าจะเห็นครอบคลุมตัวเมืองทั้งหมดจะอยู่ที่ Karni Mata Temple ซึ่งอยู่บนเนินเขาอีกที ปกติจะสามารถนั่งกระเช้าขึ้นมาที่จุดชมวิวได้ แต่ว่าเราอยากได้แสงเช้าก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นนะสิ เลิกฝันถึงกระเช้าแล้วใช้เท้าของเรากันเถอะครับ เริ่มเดินขึ้นจากตีนเขาใช้เวลาประมาณ 15 นาที จะเจอจุดถ่ายภาพจุดแรกอยู่ (ใครนั่งกระเช้าก็ไม่เจอมุมนะจ๊ะ ถ้าไม่เดินลงมา) เราถ่ายกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เอาจริงๆใช้เวลาถ่ายไปไม่ถึง 20 นาทีฟ้าก็สว่างแล้ว จะเร็วไปไหน!

เก็บภาพได้นิดหน่อยก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปจุดชมวิวแท้ๆ ของที่นี่ ซึ่งเป็นจุดที่ทำได้แค่ชมวิวจริงๆ เพราะไม่เหมาะกับการถ่ายภาพเท่าไหร่ สุดท้ายพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมา แสงเริ่มฉาบลงไปที่พระราชวัง เราเลยต้องรีบวิ่งกลับมายืนที่เดิมที่ที่เคยคุ้นตา ยังดีได้รูปตอนแสงฉาบพระราชวังมาเป็นที่ระลึก เหนื่อยจากการวิ่งไม่เท่าไหร่ แต่ที่เจ็บใจคือกลุ่มที่ไม่เดินขึ้นไปเนี่ย หัวเราะเยาะเย้ยเรากันไปตามระเบียบ

ทะเลสาบพิโคล่า (Pichola Lake) โปรแกรมปิดท้ายเพื่อให้สมกับวันสุดท้ายของทริปคือการไปล่องเรือชมความงามของเมืองอุไดปูร์กันที่ทะเลสาบพิโคล่า ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองอุไดปูร์ มีความกว้างถึง 3 กม. และยาว 4 กม. โดยที่ท่าเรือจะอยู่ในบริเวณพระราชวัง ซึ่งเราสามารถเข้าไปเดินเยี่ยมชมพระราชวังกันก่อนได้ จากนั้นค่อยมาขึ้นเรือตามรอบเวลาที่เราเลือกเอาไว้ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จริงๆแล้วเราควรมาล่องเรือกันในช่วงเย็นซึ่งแสงจะเหมาะสมกับการถ่ายภาพมาก แต่ด้วยเวลาที่ค่อนข้างจำกัด ก็เลยทำให้เราต้องมาล่องเรือในช่วงสายแทน

สรุปการเดินทางตลอด 9 วัน 8 เมือง ระยะทางกว่า 2,000 กิโลเมตร ใช้เวลาอยู่บนรถสิริรวมกว่า 48 ชม.​ ได้ความว่าทริปนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบสถาปัตยกรรมอันสวยงาม เยี่ยมชมพิพิธภันฑ์ต่างๆ ตามรอยประวัติศาสตร์ รวมถึงได้ซึมซับความเป็นอยู่พบปะชาวเมือง ในส่วนของกล้อง Nikon D500 ที่ทาง Nikon Thailand ให้นำมาใช้งานก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ทั้งเรื่องการควบคุม การจับถือ ระบบโฟกัส และอื่นๆอีกมากมาย โดยเฉพาะเลนส์คิตสุดเลิฟ AF-S NIKKOR 16-80mm f/2.8-4E ED VR (เทียบเท่า AF-S NIKKOR 24-120mm f/4G ED VR บนกล้อง Fullframe) ซึ่งถือว่าพลิกโฉมหน้าเลนส์คิตเลยก็กว่าได้ เพราะเลนส์ตัวนี้โค้ทผิวแบบนาโนคริสตัลที่ลดแสงแฟลร์และแสงโกสต์ด้วย ทั้งมุมรับภาพเริ่มต้นที่กว้างถึง 16mm คุณภาพของภาพที่ได้นับว่าใสและคมกริบ ปิดท้ายด้วยรูรับแสงที่เริ่มต้นที่ f/2.8 ทำให้เพิ่มขีดจำกัดในการถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้เป็นอย่างดี เรียกว่า เลนส์ตัวอื่นๆที่เอาไปด้วยแทบจะนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋า นั่งเฝ้าอยู่บนรถกันเลยทีเดียว ภาพที่เอามาลงในบทความนี้ส่วนมากก็มาจากเลนส์ตัวนี้แทบจะทั้งนั้น เรียกว่าเลอค่ามหาภารตะมากๆ ใครคิดจะจัด D500 มาใช้งาน อย่าลืมสอยเลนส์คู่บุญตัวนี้มาด้วยรับรองถ่ายสนุกมิรู้ลืม รอบหน้า notjustnut จะพาไปเที่ยวถ่ายภาพที่ไหนกันอีกมารอชมกัน รอบนี้ขอลาไปพร้อมกับภาพเก็บตกจากเมืองอื่นๆ ในทริปนี้กันอีกซักหน่อย

แท่ม แทม แท๊มมม! นี่ไงล่ะ ทัช มาฮาล เจอหมอกยามเช้าขโมยหายไปทั้งอัน อยากจะร้องไห้เป็นภาษาฮินดี

ลวดลายสีสดใส กล้องเมพๆ อย่าง D500 ก็เก็บสีสันและรายละเอียดมาได้อย่างครบครัน

“โฟโต้ โฟโต้ ฟอร์ ฟรี” ของฟรีไม่มีในโลก

เรื่องธรรมดาของอินเดียที่วัวมากมายอยู่ร่วมกับคน

รักการเดินทางและถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ ตอนนี้หันมาทำสิ่งที่รวมสองอย่างนี้เข้ากันได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ ทัวร์ถ่ายภาพ ที่ชื่อว่า Wonder Wander (wonder-wander.net)

Magazine made for you.