เดินเล่นย่านนอกกระแส สำรวจวิถีฮิปสเตอร์ที่ Berlin Paris และ London

มหานครขนาดใหญ่ทุกแห่งในโลก ประกอบไปด้วยย่านหลัก ย่านรอง ย่านยอดนิยม และย่านนอกกระแสต่างๆ ปนเปกันไป ย่านนอกกระแส หรือที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า hip neighborhood นั้นก็มีอยู่แทบทุกเมือง โดยมากย่านเหล่านี้จะประกอบไปด้วยกลุ่มศิลปิน นักออกแบบ และ คนทำงานสร้างสรรค์แขนงต่างๆ ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อเรียกแบบเหมารวมว่า “ฮิปสเตอร์” ที่ย้ายถิ่นฐานกันเข้าไปอยู่ เนื่องจากต้องการที่อยู่อาศัยค่าเช่าถูก แต่กว้างพอที่จะสามารถปรับพื้นที่เป็นสตูดิโอทำงานได้ด้วย

การย้ายเข้ามาของคนกลุ่มนี้ได้สร้างสีสันให้กับย่านชุมชนเดิม อาคารเก่าทรุดโทรมถูกปรับโฉมให้ทันสมัยขึ้น คาแฟ่ เบเกอรี่ ผับ บาร์ ร้านอาหารเฉพาะทาง หอศิลป์ขนาดย่อม โรงแรมฮิปดีไซน์เก๋ ผุดขึ้นมาตามท้องถนนมากมาย ทำให้ผู้คนจากแหล่งอื่นถูกดึงดูดเข้ามา จนย่านเหล่านี้เปลี่ยนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คึกคัก กลายเป็นช่องทางธุรกิจใหม่สำหรับนายทุน และตามมาด้วยแผนพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ (gentrification) ของรัฐ ที่ยัดเยียดความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่ชุมชนไม่ต้องการเข้ามา ทำให้เกิดกระแสต่อต้านในย่านเหล่านี้อยู่เนืองๆ อย่างไรก็ตาม การเดินเตร็ดเตร่ไปตามย่านนอกกระแส ทำให้ได้เห็นอีกขั้วของวัฒนธรรมย่อยนอกกระแส ที่เติบโตขึ้นเองแบบตามมีตามเกิด จนผลิบานเป็นกระแสหลัก และยังได้เห็นอัตลักษณ์ชุมชนเมือง ตลอดจนการต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลง เหมาะสำหรับใครก็ตามที่อยากหลบออกมาจากความซ้ำซากของถนนช้อปปิ้งสายหลัก มาสัมผัสบรรยากาศที่ต่างออกไปอีกสักนิด

ในทริปเบอร์ลิน ปารีส และลอนดอนครั้งนี้ เราแบ่งวันว่างไปเดินเล่น สำรวจย่านนอกกระแสของแต่ละเมือง เช่น Kreuzberg ที่เบอร์ลิน เขต 10 กับ 11 ที่ปารีส และ Shoreditch กับ Hackney ที่ลอนดอน เนื่องจากต้องเดินทางย้ายที่บ่อย เราเลยพกกล้องใหม่ Canon EOS M3 ซึ่งถอดแบบมาจากกล้อง DSRL มาใช้แทนกล้องใหญ่ เพื่อให้คล่องตัวเวลาเดินเที่ยวไปถ่ายรูปไป ข้อดีสำหรับคนที่ชินกล้องใหญ่อยู่แล้วคือ Canon EOS M3 มีระบบการควบคุมกล้อง และ grip ที่หนาถนัดมือแบบ DSLR เรียกได้ว่าหยิบมาก็ใช้แทนกันได้เลย ไม่ต้องศึกษาเพิ่มเติมมากมายนัก


Kreuzberg – Berlin

IMG_9734

คงไม่มีเมืองไหนในโลก ที่ความขบถ ความสร้างสรรค์ อิสรภาพทางความคิด การแสดงออก และความเท่าเทียม จะเบ่งบานเท่ากับเบอร์ลิน เมืองที่ผ่านเหตุการณ์สำคัญและรุนแรงทางประวัติศาสตร์แบบสุดขั้วมามากมายหลายครั้ง หากจะเปรียบเบอร์ลินเป็นคน ก็คงเป็นคนที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจากอดีต ผ่านความบอบช้ำมาจนเจนจัด และได้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตนอกกรอบ เหนืออคติที่คอยมาบดบังความคิด และย่าน Kreuzberg แห่งนี้ ก็คงเปรียบเหมือนรอยสักเท่ๆ ที่แต่งเต้มสีสันทับลงบนรอยแผลเก่าของเบอร์ลินนั่นเอง

Kreuzberg หรือที่คนถิ่นนิยมเรียกกันว่า Xberg เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมย่อยนอกกระแสมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ที่กำแพงเบอร์ลินยังตั้งตระหง่านแยกฝั่งตะวันตกจากตะวันออก ประชาธิปไตยออกจากคอมมิวนิสต์ ในยุคนั้น Kreuzberg ถือเป็นย่านคนจนที่สุดแสนจะเสื่อมโทรมของฝั่งตะวันตก และยังเป็นชุมชนชาวเติร์กนอกประเทศตุรกีที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งรวมศิลปินและเสรีชนที่เป็นสีสันของยุคนั้น ช่วงปลายทศวรรษที่ 70 ร็อคสตาร์ชาวอังกฤษอย่าง David Bowie และศิลปินพังค์รุ่นบุกเบิกอย่าง Iggy Pop ย้ายมาใช้ชีวิตทำเพลงกันที่เบอร์ลินถึง 3 ปี และมักจะกินดื่มเที่ยวกันอยู่ที่ Kreuzberg ซึ่งพวกเขามีคลับประจำคือ S036 ที่ปัจจุบันยังคงเปิดบริการอยู่ นอกจากนั้นกระแสดนตรีใต้ดินแบบ German Punk หรือ German New Wave ในทศวรรษที่ 80 ก็มีศูนย์กลางอยู่ที่ย่านนี้เช่นกัน เมื่อม่านเหล็กได้ถูกทำลายลงในปีค.ศ. 1989 ย่าน Kreuzberg ก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลง จากย่านชายขอบเบอร์ลินตะวันตกกลายมาเป็นย่านใจกลางของเมือง ซึ่งผู้คนหลากหลายที่มาและฐานะเริ่มย้ายเข้ามาอยู่ปะปนกับชุมชนดั้งเดิม

IMG_9738

IMG_9919

IMG_9837

Five Elephant คือร้านกาแฟที่หลายสื่อยกย่องให้เป็นร้านที่ทำ flat white ได้อร่อยที่สุดในเบอร์ลิน นอกจากนี้ทางร้านยังคัดเลือกและคั่วเมล็ดเอง และยังจัดส่งไปยังร้านกาแฟดังอื่นๆ ในเบอร์ลิน รวมถึงในประเทศข้างเคียงอย่างฝรั่งเศสด้วย บรรยากาศในร้านสงบและเรียบง่ายไม่ประดิษฐ์ ไม่ได้ตกแต่งร้านให้เวอร์วังเผื่อให้ลูกค้าถ่ายรูปลงโซเชี่ยลมีเดียเก๋ๆ คนที่มา มาเพื่อดื่มกาแฟ นั่งคุยกัน และ อ่านหนังสือ นอกจากกาแฟเมนูที่ไม่ควรพลาดของ Five Elephant คือชีสเค้กที่รสดีจนอยากห่อกลับไทย

IMG_9764

IMG_9759

IMG_9773

IMG_9779

IMG_9790

IMG_9786-3

จอ LCD ของ Canon EOS M3 สามารถปรับได้ 180 องศา ช่วยให้ถ่ายภาพมุมเงยง่ายขึ้น ได้มุมภาพที่แปลกใหม่ รวมถึงเซลฟี่ได้สะดวก เห็นภาพชัดเต็มจอแบบไม่ต้องก้มๆ เงยๆ ให้เมื่อย นอกจากนี้ยังเป็นระบบ Touch Screen ที่ออกแบบมาให้สามารถปรับตั้งค่ากล้องด้วยการคลิกที่หน้าจอได้เลยเหมือนกับสมาร์ทโฟน

DSCF8251

IMG_9931

IMG_9746

สวน Prinzessinnengarten บนหัวมุมถนน Prinzenstraße เป็นพื้นที่สีเขียวของย่าน ที่ถูกปรับปรุงโดยการนำพื้นที่รกร้างที่มีแต่ขยะ มาจัดสรรให้เป็นสวนผักออร์แกนิคและพื้นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ  บรรยากาศภายในสวนมีลักษณะคล้ายกับชุมชนพึ่งพาตนเองหรือคอมมูนของฮิปปี้ แทบทุกรายละเอียดในนี้ถูกทำขึ้นมากันเองแบบเรียบง่าย ไม่ว่าจะรั้ว บ้าน โต๊ะ เก้าอี้ พื้นที่สวน ระบบรดน้ำ สวนแห่งนี้เป็นโครงการของกลุ่ม Nomadisch Grün (Nomadic Green) ที่ได้รับความร่วมมือจากคนในชุมชนจัดสร้างขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้มีกิจกรรมร่วม ได้ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และยังเป็นการปลูกฝังเด็กรุ่นใหม่ให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตแบบยั่งยืนผ่าน workshop ต่างๆ ที่ถูกจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ภายในสวนยังมีร้านอาหารจากวัตถุดิบธรรมชาติและจุดรับบริจาคเครื่องนุ่งห่มสำหรับคนไร้บ้านอีกด้วย

IMG_9803

IMG_9820

IMG_9812

IMG_9822

IMG_9825

IMG_8188

IMG_8214

IMG_9922

IMG_9908

IMG_9913

Kreuzberg ยังเป็นแหล่งรวมร้านค้าแฟชั่นมากมาย ตั้งแต่ดีไซเนอร์แบรนด์ ไปจนกระทั่งร้านเสื้อผ้ามือสองคุณภาพดี แต่ร้านที่ยังไงก็ต้องแวะไป คงหนีไม่พ้น Voo Store ร้าน multi-brand concept store ที่ซ่อนตัวอยู่ในเวิ้งตึกบนถนน Oranienstraße สินค้าที่ Voo เลือกมาส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์สแกนดิเนเวียนอย่าง Acne, Soulland, Wood Wood รวมไปถึง sneakers รุ่น limited edition ต่างๆ และนิตยสารนอกกระแสมากมาย ภายในบริเวณร้านยังใช้พื้นที่ร่วมกับร้านกาแฟ Companion Coffee ซึ่งนอกจากกาแฟอร่อยแล้วยังเป็นที่พบปะของคนที่แวะมาช้อปปิ้งที่ร้านนี้อีกด้วย

IMG_9890

IMG_9865

IMG_9861

IMG_9885

IMG_9874

IMG_9850

IMG_9860

ห่างออกไปจากใจกลางย่าน Kreuzberg ลงไปทางใต้ เป็นที่ตั้งของสนามบิน Tempelhof ซึ่งหลังจากที่หยุดทำการในปี 2008 ก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ที่คนสามารถมาเล่นกีฬา ปั่นจักรยาน จูงหมา บาร์บีคิว ทำสวน หรือแม้กระทั่งดูนกได้ ที่นี่ถือเป็นสนามบินแห่งแรกๆ ของยุโรป และถูกใช้เป็นสนามบินหลักของเบอร์ลินในยุคนาซีเยอรมัน ลัญลักษณ์หัวอินทรีย์ที่ยังคงตั้งอยู่ด้านหน้าของสนามบิน ทางฝั่งสถานีรถไฟใต้ดิน Platz der Luftbrücke ทำให้พอจะจินตนาการบรรยากาศของยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ ในอดีตที่นี่เคยถูกใช้เป็นสถานที่รวมพลเฉลิมฉลองของกองทัพนาซี ซึ่งเคยมีทหารมารวมตัวกันกว่าล้านนายบนรันเวย์แห่งนี้ เรียกได้ว่าทั้งบรรยากาศดี และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ คุ้มค่าแก่การแวะมาเยือนอย่างมาก

IMG_0032

IMG_9961

IMG_9985

IMG_8333

IMG_0005

ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Kreuzberg คือพื้นที่ประวัติศาสตร์ริมแม่น้ำ Spree ที่ตั้งของกำแพงเบอร์ลินส่วนที่เรียกกันว่า East Side Gallery ซึ่งเป็นส่วนที่ศิลปินจากทั่วโลกมาร่วมวาดภาพบนกำแพงความยาว 1.3 กิโลเมตร เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานในการทำลายกำแพง และการรวมเบอร์ลินเข้าเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง พื้นที่แห่งนี้มีกรณีพิพาทหลายครั้งเนื่องจากทางรัฐพยายามที่จะวางโครงการปรับปรุงพื้นที่ไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น แต่ประชาชนต่อต้านเพราะต้องการจะสงวนกำแพงส่วนนี้ไว้เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองและประเทศ หากใครมีโอกาสได้ไปเบอร์ลิน แล้วไม่ได้ไปเดินเลียบกำแพงแห่งนี้ เรียกได้ว่ายังมาไม่ถึงเบอร์ลินอย่างแท้จริง

IMG_0042

IMG_0054

DSCF8560

เมื่อถ่ายรูปสวยๆ มาได้แล้ว ใครๆ ก็ต้องอยากแชร์ทันที สิ่งที่ขาดไม่ได้ในกล้อง Mirror ยุคนี้คือการเชื่อมต่อ WiFi กับอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่ง Canon EOS M3 สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone ได้ง่ายเพียงปุ่มเดียว สามารถสั่งพิมพ์ไปที่ปริ๊นเตอร์ และยังสามารถสั่งการ Remote Control ผ่าน Canon Camera Connect app ได้เลย

IMG_0072

IMG_0088

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะออกตัวไปเตร็ดเตร่ตามย่านเหล่านี้ ควรระลึกไว้เสมอว่าย่านฮิปในต่างประเทศส่วนมากจะเป็นย่านเถื่อน ไม่เหมือนย่านฮิปบ้านเรา อย่าง เอกมัย ทองหล่อ อารีย์ ที่เต็มไปด้วยลูกคุณหนู รถหรู แบบชีวิตไฮโซ อย่างร้าน Five Elephant ซึ่งบรรยากาศแสนจะเงียบสงบ ก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Görlitzer Park สวนสาธารณะประจำย่าน ที่เป็นแหล่งค้ายาเสพติด เพียงแค่เดินผ่านประตูสวนเข้าไป ก็จะเจอคนที่ยืนต้อนรับเราอยู่เดินมากระซิบถามเราว่า “เอาของมั๊ย” จนเป็นเรื่องปรกติ และยังมีอีกหลาย 10 คนกระจายตัวอยู่ทั่วสวน สินค้าพื้นฐานที่ขายคือกัญชา แต่มากกว่านั้นพวกเขาก็มีพร้อม ขายกันแบบไม่มีการปิดบัง เบอร์ลินเหมาะสำหรับคนชอบปาร์ตี้ และรับกับอะไรดิบๆ เถื่อนๆ ได้ แต่อาจไม่เหมาะให้มนุษย์เซลฟี่มาเดินสวยๆ เท่าไหร่นัก


10th | 11th Arrondissements – PARIS

IMG_9404

ปารีสเป็นเมืองแห่งนักท่องเที่ยว บ่อยครั้งที่คนมาเที่ยวปารีสต้องช็อคกับปริมาณทัวริสต์ ความยาวของคิว และบรรยากาศที่แสนจะแออัดจนหลายคนพบว่าปารีสไม่ได้โรแมนติกงดงามตามที่คาดหวังไว้ ขนาดที่มีโรคเฉพาะชื่อว่า Paris Syndrome ซึ่งเป็นอาการทางจิตเกิดขึ้นในหมู่ชาวญี่ปุ่นที่ช็อคจากความผิดหวังกันเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว

ดังนั้นหากใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศ หลบลี้ความจอแจใจกลางเมือง ลองเขยิบออกไปเดินเล่นตามย่านนอกกระแสรอบนอกอีกซักนิดอาจจะถูกจริตกว่า น่าเสียดายที่เรามีเวลาในปารีสกันเพียงวันครึ่ง ก่อนจะต้องขึ้นรถไฟเปลี่ยนประเทศอีกครั้ง จึงมีเวลาไม่พอจะไปไหนไกลกันเท่าไหร่ เพราะย่านนอกกระแสของที่นี่ กินพื้นที่ถึง 4 เขต คือตั้งแต่เขต 10, 11, 19, และ 20 ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของปารีส โดยมีย่านเด่นๆ อย่าง Canal Saint-Martin, Oberkampf, Belleville, Ménilmontant และ Bastille

ย่านเหล่านี้แต่เดิมเคยเป็นย่านอุตสาหกรรม และที่อยู่อาศัยของชนชั้นแรงงานในปารีสซึ่งค่าเช่าที่ถูก กลุ่มศิลปินและผู้อพยพจากชาติต่างๆ จึงมาตั้งถิ่นฐานกันบริเวณนี้ Canal Saint-Martin เป็นศูนย์กลางของเหล่าโบฮีเมียนในปารีส ที่ซึ่งผู้คนนิยมออกมานั่งตากอากาศริมคลอง สามารถพบเห็นนักศึกษาปั่นจักรยานผ่านไปมาตามถนนสองฝั่งคลอง ที่เรียงรายไปด้วยร้านรวงและคาเฟ่ดิบๆ ชิคๆ เลยขึ้นไปไม่ไกลทางด้านเหนือเป็นที่ตั้งของ Point Ephémère โกดังเก่าที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมดนตรีและศิลปะทุกแขนง แหล่งรวมของวัยรุ่นและศิลปินเลือดใหม่ ส่วนทางใต้ตรงจุดที่คลองไหลลงสู่ระบบใต้ดินที่บริเวณจัตุรัส Place de la République คือย่าน Oberkampf ที่เป็นแหล่งรวมคลับ บาร์ ปาร์ตี้ สีสันยามค่ำคืนของปารีส ถัดขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ คือ Belleville ย่านเบ้าหลอมทางวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ คร่อมอยู่ระหว่างเขต 10, 11, 19, และ 20 เป็นที่ตั้งของไชน่าทาวน์ (Quartier Chinois) แห่งที่ 2 ของปารีส รวมถึงแกลลอรี่ศิลปะแขนงต่างๆ และถัดลงมาด้านล่างทางตะวันออก คือ Bastille พื้นที่ประวัติศาสตร์ สัญลักษณ์แห่งการปฏิวัติในอดีต ที่ในปัจจุบันเป็นแหล่งขายแผ่นเสียงและสถานที่จัดคอนเสิร์ตของวงดนตรีมากมาย

IMG_9476

IMG_9462

IMG_9488

แม้ปารีสจะเต็มไปด้วยคาเฟ่ แต่ที่นี่กลับไม่ใช่เมืองที่เด่นเรื่องกาแฟสักเท่าไหร่ คนฝรั่งเศสส่วนใหญ่ดื่มกาแฟกันแบบธรรมดา ไม่ได้ฮิตกาแฟ drip, pour over, cold brew หรือ flat white อะไรกันมากมายนัก ร้านกาแฟแบบ specialty coffee จึงมีให้เห็นไม่ค่อยมาก ที่จริงแล้วแม้แต่กาแฟแฟรนไชส์อย่าง Starbucks ยังไม่ได้รับความนิยมที่นี่ด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังอยากลองชิมกาแฟที่นี่ เราจึงมาเริ่มต้นวันกันที่ Hollybelly ร้านที่เจ้าของได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมคาเฟ่ของเมลเบิร์น ออสเตรเลียมาเปิดร้านของตนเองขึ้นที่บริเวณ Canal Saint-Martin

IMG_9426

สิ่งแรกที่สังเกตเห็น เมื่อเดินเข้ามาในร้านแล้วแหงนหน้ามองบอร์ดเมนู คือข้อความต้อนรับที่เขียนว่าว่า “ยินดีต้อนรับสู่ Hollybelly ที่ที่ลูกค้านั้นเป็นที่รัก แต่ไม่ได้ถูกเสมอไป” ที่อ่านแล้วถึงกับต้องอมยิ้ม เพราะมันช่างเป็นประโยคทักทายที่สมกับเป็นปารีสเหลือเกิน บรรยากาศภายในร้านอบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟและจอแจไปด้วยเสียงสนทนาของลูกค้าที่แน่นร้าน บางคนกางแล็ปท็อปทำงาน บางคนจูงสุนัขเข้ามานั่งทานในร้านด้วย ที่นี่ใช้กาแฟจากโรงคั่ว Belleville Brûlerie Paris ในย่านฮิป Belleville ใกล้ๆ กับที่นี่ และเสิร์ฟอาหารเช้าตั้งแต่ 9 โมง เหมาะสำหรับมาเติมพลังก่อนเริ่มต้นวันแห่งการเดินเที่ยว

IMG_9409

IMG_9415

IMG_9432

IMG_9671

Canon EOS M3 มีโหมดต่างๆ ที่ช่วยให้การถ่ายภาพสนุกและมีสีสันมากขึ้น ทั้ง Creative Assist และ Creative Filters ที่ช่วยให้มือใหม่ปรับแต่งสีแสงความชัดได้ภาพออกมาดุจมือโปร รวมไปถึงโหมด Auto ง่ายๆ อย่างโหมดถ่ายอาหารโดยเฉพาะ เพื่อให้ภาพจากแต่ละมื้อดูน่าทานทุกรูป

IMG_9434

IMG_9519

IMG_9533

นอกจากคาเฟ่ คลับ บาร์ และร้านค้าฮิปๆ จัตุรัส Place de la République เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจในแถบนี้ จัตุรสแห่งนี้มักถูกใช้เป็นสถานที่ชุมนุมแสดงออกทางการเมือง เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินขบวนและการประท้วงนานาชนิด เนื่องจากชื่อที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ ที่แสดงถึงชัยชนะของการการปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบสาธารณรัฐ นอกจากนี้ยังเป็นจุดเชื่อมต่อ ที่เขต 3, 10, และ 11 มาบรรจบกันอีกด้วย

ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นอนุสาวรีย์ที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง โดนถล่มด้วย “เสียง” ของประชาชน จากการพ่นสีและกราฟฟิตี้ต่างๆ จนเละเทะขนาดนี้ เราจึงพอจะเข้าใจและเห็นภาพวิธีการแสดงออกทางความคิด และความเป็นเสรีนิยมในแบบฝรั่งเศสได้มากขึ้นเล็กน้อย สภาพของอนุสาวรีย์ในตอนนี้เต็มไปด้วยร่องรอยจากการออกมาเคลื่อนไหวเพื่อตอบโต้เหตุการณ์สังหารหมู่ที่สำนักงาน Carlie Hebdo เมื่อต้นปี 2015 ซึ่งชาวฝรั่งเศสได้ออกมารวมตัวกันเพื่อไว้อาลัยที่จัตุรัสแห่งนี้นับล้านคน ประโยค “Je suis Charlie” ถูกพ่นไว้แทบจะทุกอณูของฐานอนุสาวรีย์ ปากของรูปปั้นถูกพ่นกากบาทปิดไว้ไม่ให้พูด และยังมีใบประกาศหลากรูปแบบถูกแปะไปทั่ว แต่ในช่วงที่เราไปได้มีการล้อมรั้วรอบตัวอนุสาวรีย์ไว้ไม่ให้คนเข้าไปใกล้แล้ว เนื่องจากไม่กี่วันก่อนที่เราจะมาที่นี่ มีเทศกาลดนตรีและมีคนปีนขึ้นไปบนอนุสาวรีย์จนตกลงมาตาย

IMG_9555

IMG_9575

ฝรั่งเศสถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้าในเรื่องอาหารการกิน ร้านอาหารระดับมิชลินในปารีสมีมากกว่า 70 ร้านให้เลือกทานกัน แต่ที่น่าสนใจ (และประหยัด) กว่าสำหรับเรา คือ food truck ซึ่งทีแรกเราไม่คิดว่าประเทศอย่างฝรั่งเศส ที่ไม่ค่อยจะเปิดรับวัฒนธรรมชาติอื่นสักเท่าไหร่ จะมีกระแสครัวเคลื่อนที่อย่างเป็นจริงเป็นจังอยู่ด้วย แต่เราก็ได้บังเอิญเดินมาเจอเทศกาลอาหาร Street Food Temple ที่มี food truck นานาชนิด จอดเรียงรายกันไม่ต่ำกว่า 20-30 คัน จึงถือเป็นโอกาสเหมาะที่เราจะได้ชิมฝีมือครัวเคลื่อนที่ของเมืองอาหารอันดับต้นๆ ของโลกสักครั้ง

ด้วยความที่ฝรั่งเศสเป็นชาติที่พิถีพิถันกับเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษอยู่แล้ว วงการครัวเคลื่อนที่ของที่นี่จึงน่าสนใจเป็นพิเศษ food truck เจ้าแรกๆ ที่เข้ามาเปิดกิจการในปารีส คือ Le Camion qui fume ร้านเบอร์เกอร์สไตล์อเมริกัน ที่มีเจ้าของเป็นชาวแคลิฟอร์เนีย แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีอาหารแนวอื่นเปิดตามขึ้นมามากมาย ทั้งอาหารฝรั่งเศส อิตาลี สเปน เม็กซิกัน อาร์เจนติน่า อเมริกัน เกาหลี ญี่ปุ่น แต่การจะเปิด food truck ขายอาหารที่นี่ได้ ต้องมีการขอใบอนุญาตประกอบการจากทางรัฐ มีระบบควบคุมมาตรฐาน และ มีการระบุพื้นที่ขายชัดเจน ซึ่งรัฐจัดไว้กว่า 40 จุดทั่วปารีส ทำให้ไม่มีพวก food truck แบบมักง่ายให้ได้เห็น

IMG_9580

IMG_9586

IMG_9569

IMG_9704

IMG_9714

ร้านที่เราประทับใจที่สุดในเทศกาลนี้ คือร้าน La Brigade ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็น Street Food Carnivore เราสั่ง Onglet de Boeuf (Hanger Steak) สเต็กเนื้อหมักย่าง ดิ๊ปกับซอส Roquefort Miel สูตรของทางร้าน ที่ทำจากบลูชีสนมแพะทางใต้ของฝรั่งเศสผสมน้ำผึ้ง ร้านนี้คิวยาวเหยียด ต้องต่อประมาณ 20-30 นาทีถึงจะได้ทาน แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าการรอ เพราะเนื้อที่ร้านเลือกใช้อร่อยชุ่มฉ่ำจนน้ำตาแทบไหลเลยทีเดียว


Shoreditch – Hackney, London

IMG_8765

ในขณะผู้คนกระจุกกันอยู่ที่ City Center และฝั่ง West End คนเท่ๆ เก๋ๆ ในลอนดอนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนศิลปะ ศิลปิน นักออกแบบ หันไปตั้งอาณานิคมอยู่กันทางฝั่งตะวันออก หรือ East End ของเมือง ในเขต Hackney บริเวณย่านที่หลายคนอาจจะคุ้นชื่อกันอยู่แล้วอย่าง Shoreditch ย่านที่เต็มไปด้วยผู้ชายเคราดก จักรยานฟิกเกียร์ ร้านค้าและตลาด pop-up แทบทุกรูปแบบ ตามอาคารเก่าๆ โทรมๆ ที่ถูกแต่งแต้มด้วยการออกแบบร้านรวงด้วยคอนเซ็ปต์สร้างสรรค์ต่างๆ อย่างมีสีสันและทันสมัย ซึ่งถูกตกแต่งด้วยงานกราฟฟิตี้จากศิลปินน้อยใหญ่บนแทบทุกพื้นที่กำแพง ราวกับเป็นวอลเปเปอร์ของเมือง

IMG_8760

IMG_8843

นอกจากซากรถไฟกราฟฟิตี้บนตึกอิฐเก่า ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์บอกว่าคุณมาถึง Shoreditch แล้ว BOXPARK ก็ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่ใครผ่านมาบริเวณหัวถนน Shoreditch High Street จะต้องเห็น ถึงแม้ว่าการนำตู้คอนเทนเนอร์มาสร้างเป็นร้านค้าจะไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่ย้อนไปเมื่อปี 2011 BOXPARK ถือว่าเป็น pop-up mall ที่สร้างจากตู้คอนเทนเนอร์แห่งแรกๆ ของโลกเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับตึกอิฐเก่าในบริเวณนี้ BOXPARK อาจดูไม่ค่อยเข้าพวกเท่าไหร่นัก แต่อาหารของที่นี่ถือว่าอร่อยทีเดียว มีให้เลือกหลากหลาย บรรยากาศดีใกล้สถานีรถไฟ เหมาะเป็นจุดเริ่มต้นการเดินสำรวจย่าน

IMG_8774

DSCF1573

IMG_8796

IMG_8815

IMG_8833

IMG_8786

ท่ามกลางร้านรวงเฉพาะทางต่างๆ ที่มีอยู่มากมายในย่านนี้ Mast Brothers คือร้านที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับมาหาซื้อของฝาก พักขาดื่มช็อคโลแลตร้อนทำสดๆ แบบถ้วยต่อถ้วย ที่อร่อยจนน้ำตาแทบไหล ช็อคโกแล็ตแบรนด์ดังจากบรู๊คลิน นิวยอร์ก ของสองพี่น้อง Mast ไม่ได้แค่มาเปิดสาขาถึงลอนดอน เพื่อแค่จะเอาช็อคโกแลตบาร์มาวางขาย แต่ยกเอาห้องปฏิบัติการมาผลิตกันแบบสดๆ ที่นี่ ให้ลูกค้าได้เห็นขั้นตอนการคัดสรร ความพิถีพิถันของกรรมวิธีในการผลิต และความบ้าคลั่งในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้ ที่ทุกคนต้องสะดุดตาตั้งแต่ดิสเพลย์หน้าร้าน ที่ดูราวกับเป็นผลงานศิลปะในแกเลอรี่เลยทีเดียว

ส่วนใครที่อยากจิบเบียร์ยามบ่าย ร้าน BrewDog Shoreditch เปิดให้บริการตั้งแต่เที่ยง ห่างออกไปจากร้าน Mast Brothers เพียงไม่ถึง 300 เมตรในซอยเดียวกันนี่เอง BrewDog เป็น craft beer จากสก็อตแลนด์ที่มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งในอังกฤษ ใครที่เคยดูรายการ Brew Dogs ของ Esquire จะทราบดีถึงความสุดโต่งในการทำเบียร์ของ James Watt และ Martin Dickie สองคู่หูเจ้าของแบรนด์ชาวสก็อต ที่สรรค์สร้างเบียร์รสดีหลากหลายรูปแบบออกมาตอบสนองนักดื่ม ที่จริงเราสามารถหา BrewDog แบบขวดดื่มได้ในไทย แต่เมื่อมาลอนดอนทั้งที ก็ควรที่จะลองมาดื่มจาก tap กันดูสักครั้ง ยิ่งอากาศเย็นๆ ยิ่งเหมาะเป็นที่สุด

IMG_8859

IMG_8868

IMG_1639

IMG_8895

IMG_8917

IMG_1685

IMG_8900

IMG_1662

ในแง่คุณภาพไฟล์ white balance และ color tone ของ Canon EOS M3 ให้สีใกล้เคียงกับความจริงที่สุด ไม่เพี้ยนสว่างหรือมืดเกินไป และไม่สดจนดูหลอก นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายไฟล์ RAW ซึ่งเหมาะสำหรับการนำรูปไปปรับต่อในโปรแกรมแต่งภาพต่างๆ อีกด้วย

IMG_8937

IMG_8955

IMG_8958

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Shoreditch ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จนก้าวข้ามความเป็นย่านพักอาศัยของเหล่าคนฮิป กลายเป็นย่านการค้าที่พลุกพล่าน ด้วยเหตุนี้เหล่าคนฮิปจึงค่อยๆ ย้ายถิ่นไกลออกไปทางตะวันออกขึ้นอีก สู่ย่าน Dalston และ Hackney Central เพื่อหนีความเป็นกระแสหลักที่เข้ามาปกคลุม Shoreditch ไปแล้ว ทำให้ร้านรวงใหม่ๆ กระจายตัวผุดขึ้นทั่วเขต Hackney ในช่วงหลายปีมานี้

ในวันแดดดี ผู้คนในย่านนี้จะออกไปตากอากาศทำกิจกรรมกันที่ London Field สวนที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่าง Shoreditch, Dalston และ Hackney ติดกับ Broadway Market หนึ่งในตลาดกลางแจ้งที่ถ้าใครมาลอนดอนก็ควรต้องแวะมาสักครั้ง บริเวณรอบๆ สวนมีผับ คาเฟ่ และร้านค้าเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ปะปนกับที่พักอาศัย ทำให้คนที่เบื่อความจอแจของถนนช็อปปิ้งใจกลางเมือง มักจะนิยมหนีมากินดื่มเที่ยวกันในย่านนี้แทน

IMG_8974

IMG_8977

IMG_8985

IMG_8994

IMG_8997

IMG_9014

IMG_9015

IMG_9031


ภาพประกอบถ่ายโดย Conon EOS M3

Magazine made for you.