นั่งรถไฟ Interrail เมืองต่อเมืองในยุโรป

เชื่อว่าการนั่งรถไฟข้ามทวีปยุโรป คงเป็นความใฝ่ฝันของชาวเอเชียหลาย ๆ คน แต่เพราะทวีปยุโรปนั้นช่างห่างไกล และค่าใช้จ่ายสูง ไม่ง่ายเลยที่จะตัดใจควักเงินในกระเป๋าออกมาถลุง วันนี้เราจะมาแนะนำทางเลือกอีกทางหนึ่ง ที่ประหยัด สนุกและเพิ่มความท้าทายในการเดินทาง ที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า Interrailing หรือการนั่งรถไฟข้ามทวีปยุโรปไปเรื่อย ๆ นั่นเอง

วิธีการ interrailing มีหลักการง่ายๆคือ ซื้อตั๋วรถไฟเหมือนเหมาการเดินทาง อย่างเช่น ซื้อแบบเดินทางได้ 5 วันภายในสองอาทิตย์ นั่นแปลว่าใน 5 วันนั้น จะสามารถนั่งรถไฟกี่ขบวนก็ได้ให้ไปให้ถึงที่หมายโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆเพิ่มเติม ยกเว้นว่าถ้าเป็นรถไฟแบบด่วนพิเศษที่จำเป็นต้องสำรองที่นั่ง ก็อาจจะต้องเสียค่าจองที่นั่งเพิ่มเล็กน้อย แต่เราสามารถกำหนดวันเดินทางและจุดหมายได้เอง และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเพราะไม่ต้องกรอกตั๋วข้อมูลการเดินทางจนกระทั่งก่อนขึ้นรถไฟขบวนนั้นจริงๆ นับว่าเป็นการเดินทางด้วยสัญชาตญาณไปได้เรื่อยๆเลยทีเดียว เพียงแค่วางแผนคร่าวๆ และที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

ในส่วนของตารางการเดินทางในครั้งนี้ เราเลือกที่จะนั่งรถไฟท่องเที่ยวช่วงยุโรปกลาง เริ่มตั้งแต่ ปารีส โรม อินสบรุค และจบที่อัมสเตอร์ดัม โดยเลือกเที่ยวสถานที่ที่เป็นเสมือน hidden gems ในแต่ละเมือง

France

ปารีส อีกเมืองสำคัญของทวีปยุโรปที่มากไปด้วยนักล่าฝัน นักท่องเที่ยว และความโรแมนติก ถ้าพูดถึงปารีส สิ่งแรกที่เรานึกถึงก็คงจะหนีไม่พ้น Lourve หรือ หอไอเฟล แต่วันนี้เรามาเดินเล่นริมฝั่งแม่แซนที่เป็นที่ตั้งของร้านหนังสือในตำนาน Shakespeare and Company ซึ่งมีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ยุค 1920s หากใครเคยได้ดูหนังเรื่อง Midnight in Paris ของ Woody Allen ก็จะถึงบางอ้อ เพราะได้อ้างอิงมาจากร้านหนังสือแห่งนี้จริงๆ

แต่ก่อนที่แห่งนี้เหมือนเป็นห้องสมุดและพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดของเหล่านักเขียนและศิลปินรุ่นใหม่ในยุคนั้นก่อนที่พวกเขาจะกลายมาเป็นปรมาจารย์และผลิตผลงานชิ้นเอกให้ชนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้เสพย์กัน บรรยากาศในร้านตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหนังสือทั้งเก่าและใหม่จนไม่รู้ว่าจะเริ่มเลือกดูที่ไหนก่อน บริเวณชั้นสองของร้านมีเปียโนไม้ตั้งไว้ให้ใครที่อยากจะบรรเลงดนตรีเสริมบรรยากาศความขลังให้บรรดาเหล่านักอ่านเพลิดเพลินไปกับการอ่านหนังสือก็ไม่มีใครว่า

ส่วนชั้นล่างมีการรวบรวมผลงานวรรณกรรมไม่ว่าจะเป็นบทความ บทกวี เรื่องสั้นหรือนวนิยายของนักเขียนยุคที่จังหวะการเคลื่อนไหวทางวรรณกรรมเน้นความคิดอิสระและไร้แบบฟอร์มในการเขียน หรือการวางแผนล่วงหน้าเพื่อเป็นการตอบสนองต่อความรู้สึกนึกคิด ณ ช่วงเวลานั้นๆ หากใครไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน หรือควรเลือกซื้ออะไรในร้านแห่งนี้ พนักงานที่นี่เป็นหนอนหยังสือเช่นเดียวกัน เขาสามารถช่วยแนะนำ และเลือกหนังสือกลับไปเป็นที่ระลึกได้อีกด้วย

วันที่สองของนครปารีส เราเลือกไปเดินเล่นกันที่ย่าน Montmartre เนินเขาสูง 130 เมตรที่เป็นที่ตั้งของ พระวิหาร Sacré-Cœur บริเวณด้านบนของพระวิหารจะมีจุดชมวิวให้เราได้เห็นปารีสในมุม 360 องศา จากจุดนี้ ในวันที่อากาศดี เราสามารถมองเห็นไปไกลถึงหอไอเฟลได้เลยทีเดียว

ออกเดินทางจากปารีสไปต่อกันที่โรมด้วยรถไฟนอน 14 ชม.

Italy

เชื่อว่ากรุงโรมคงจะเป็นอีกเมืองในฝันของเหล่านักเดินทางหลาย ๆ คน เพราะนครแห่งนี้ นอกจากจะเป็นแก่นรากของวัฒนธรรมตะวันตกแล้ว ที่นี่ยังคงเป็นเมืองโบราณแห่งสำคัญของโลก ที่ได้พยายามรักษาซากอารายธรรมเก่าแก่เอาไว้ให้พวกเราได้ชื่นชมและศึกษาถึงที่มาที่ไปของอารยธรรมโบราณแห่งนี้อีกด้วย แต่วันนี้เราจะพาออกจากจุดศูนย์กลางกรุงโรมออกไปสักนิด แล้วไปเดินเล่นกันที่ย่าน Trastevere ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ Tiber

ในเวลากลางวันเราสามารถเพลิดเพลินไปกับการหลงทางอยู่ในตรอกซอกซอย ที่เรียงรายไปด้วยบ้านทรงโบราณในแบบ Roman style แต่ย่านนี้จะคึกคักหลังหกโมงเย็นเป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็น ร้านค้า ผับ บาร์ หรือ street performers ก็จะมารวมตัวกันอยู่ในบริเวณนี้ให้เราได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของกรุงโรมในยามค่ำคืน หากใครงบในกระเป๋ามากหน่อยก็สามารถกระเถิบออกไปนั่งจิบไวน์ชมพระอาทิตย์ตกดินได้ตามร้านอาหารรายทางริมแม่น้ำ Tiber สำหรับนักเดินทางที่ไม่ค่อยชอบบริเวณที่มีผู้คนมากเกินไป ก็สามารถเลือกหลบไปเดินชมกรุงโรมในเวลากลางคืนแทนได้ นอกจากอากาศจะเย็นสบาย ผู้คนไม่พลุกพล่าน บรรยากาศยังโรแมนติกมากอีกด้วย เหมาะกับการเดินเล่น จูงมือกับแฟนไม่น้อยเลยทีเดียว

Austria

สำหรับจุดหมายปลายทางต่อไปของเรา นับว่าเป็น highlight ของทริปนี้เลยก็ว่าได้ เพราะเราเลือกที่จะหนีความวุ่นวายของการเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวหลัก ๆ อย่างปารีสและโรม ไปเข้าป่าและเดินเขากันในหุบเขา Stubai ในทิโรล รัฐทางด้านตะวันตกของประเทศออสเตรีย

การเดินทางจากกรุงโรมมายังเมืองอินส์บรุค (Innsbruck)  เมืองหลวงของรัฐทิโรล (Tyrol) นั้นใช้เวลาทั้งสิ้นโดยประมาณ 6 ชั่วโมง โดยเปลี่ยนรถไฟเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น จากอินส์บรุคเรานั่งรถบัสออกนอกเมืองมาอีก 45 นาทีก็จะมาถึงชุมชนนอยซ์ทิฟท์ (Neustift) ชุมชนเล็ก ๆ ท่ามกลาง Stubai Alps ซึ่งเป็นที่พักของเราและเป็นจุดเริ่มต้นในการออกเดินป่าและปีนเขาในหุบเขา Stubai

วันแรกที่มาถึงนั้นนับว่าอากาศดีมากเลยทีเดียว เพราะชาวบ้านแถวนั้นบอกว่าปกติอากาศจะไม่ค่อยร้อนขาดนี้ ท้องฟ้าเปิด มองเห็นเลเยอร์หลาย ๆ ชั้นของภูเขาที่เรียงรายกันอยู่ไกลออกไป หลังจากการวิ่งตามรถไฟและการเดินทางหลายชั่วโมง เราจึงเลือกที่จะไปแช่น้ำในสระว่ายน้ำของหมู่บ้านที่ห้อมล้อมไปด้วยหุบเขา ตกเย็นเราก็ไปหาข้าวทานกันในบริเวณหมู่บ้าน ซึ่งถ้าไม่ใช่อาหารพื้นเมืองของชาวทิโรล อาหารส่วนใหญ่ก็จะได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอิตาลี สำหรับเมนูจองชาวทิโรลนั้นก็จะเน้นอาหารที่มีส่วนประกอบไม่ซับซ้อนมากนัก หาได้ง่ายตามท้องถิ่น เนื่องจากสมัยโบราณชาวพื้นเมืองทิโรลนั่นมีอาชีพทำนาไม่ได้ร่ำรวยมากนัก ส่วนประกอบหลัก ๆ ที่พบเจอส่วนใหญ่ก็จะเป็นชีส นม และแป้ง

วันที่สองในออสเตรียเราขึ้นเขาแถว ๆ ที่พักที่มีชื่อว่า Elferspitze วันนั้นฝนตกทั้งวันและหมอกลงหนักมาก เราจึงเลือกที่จะขี้โกงและใช้บริการ cable car ขึ้นไปครึ่งทางที่มีไว้ให้นักเล่นสกีใช้ในฤดูหนาว ณ จุดพัก cable car มีแผนที่เส้นทางเดินเขาให้เราเลือกกันตามความสามรถ มีการอธิบายอย่างละเอียดถึงระดับความยากง่ายของแต่ละเส้นทาง เพราะฉะนั้นหากใครไม่คุ้นเคยกับการเดินเขาไม่ต้องเป็นกังวล เพราะสามารถขึ้นไปเลือกเดินตามแผนที่ได้เลย

เราเลือกเส้นทางระดับกลางและเดินต่อไปอีกจนกระทั่งไปถึงจุดที่พักนักปีนเขา ที่มีบริการอาหารและเครื่องดื่มอุ่น ๆ เติมพลังเพื่อให้เดินต่อไปจนถึงยอดเขา

วันต่อมาของการเดินเขานั้น เราตัดสินใจที่จะลองขึ้นไปบนจุดที่สูงที่สุดของรัฐทิโรล ที่มีความสูงถึง 3210 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เนื่องจากเป็นภูเขาที่ค่อนข้างสูง บริเวณยอดเขาจึงปกคลุมไปด้วยหิมะและธารน้ำแข็งตลอดทั้งปี จุดบริการ cable car ของที่นี่มีถึงสามจุดด้วยกัน แล้วแต่ว่าเราอยากจะเริ่มเดินจากจุดไหน อัตราค่าบริการนั้นแตกต่างกันไปตามฤดู หากเป็น peak season ของที่นี่ก็คงหนีไม่พ้นฤดูหนาวที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกแห่มาเล่นสกีกัน ราคาก็จะแพงขึ้นมา ส่วนฤดูร้อนนั้นเราจะได้รับส่วนลดจากการถือบัตร Stubai Super Card ที่แถมมากับบางโรงแรมในเครือ อันนี้ต้องเลือกดูกันดีๆเพราะการถือบัตรนี้ช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากเลยทีเดียว เพราะใช้บริการรถบัส และ cable car ได้ฟรีในบริเวณ Stubai Valley จากจุดชมวิวบน Top of Tyrol หากท้องฟ้าเปิดเราสามารถมองเห็นได้ไกลถึง Dolomite เทือกเขาในประเทศอิตาลีเลยทีเดียว แต่วันที่มีเมฆมากอย่างเช่นวันนี้ บรรยากาศก็จะสวยและเซอร์เรียลไปอีกแบบ เสมือนอยู่ในโลกแห่งความฝัน

จากจุดชมวิวเราเลือกนั่ง cable car ลงมาหนึ่งระดับเพราะอุปกรณ์ไม่พร้อมสำหรับเดินทางเท้าบนธารน้ำแข็ง และจากนั้นเราก็ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง เดินลงเขาไปจนถึงจุดจอดรถบัสเพื่อกลับที่พัก เส้นทางนี้ผ่าน Grawa waterfall น้ำตกที่มีขนาดความกว้างที่สุดในอาณาบริเวณเทือกเขาแอลป์ตะวันออกอีกด้วย ว่ากันว่าหากอยู่ในบริเวณน้ำตกนี้เพียงแค่หนึ่งชั่วโมงจะทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น และหายใจได้สะดวกขึ้น เพราะละอองน้ำตกที่นี่นั้นมีอณุภาคที่เล็กมากและมากไปด้วยอิออน เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืดยิ่งนัก

ตบท้ายวันก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน เรายังพอมีเวลาเหลือก่อนที่จะเข้าเมืองอินส์บรุค เมืองหลวงของทิโรลที่มีการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างธรรมชาติที่แวดล้อมไปด้วยเทือกเขาแอล์ปและสถาปัตยกรรมยุคโมเดิร์น กับตึกรามบ้านช่องที่มีสีสันสดใสตัดกับหลากโทนสีฟ้าของภูเขาที่เป็นแบคกราวได้อย่างลงตัว เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของ ผลงานชิ้นสำคัญถึงสองชิ้นด้วยกันของสถาปนิกหญิงชื่อดังผู้ล่วงลับ Zaha Hadid

ชิ้นแรกนั้นคือ Bergisel Ski Jump ที่ผ่านการใช้งานจริงในกีฬา Winter Olympics ถึงสองครั้งด้วยกัน ที่นี่ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปบนจดรับชมวิวด้านบนที่มีคาเฟให้่บริการและสามารถมองเห็นทั้งเมืองอินส์บรุค และเทือกเขาแอลป์ในทิโรลอีกด้วย อีกชิ้นที่เราอยากจะนำเสนอและได้มีโอกาสใช้บริการก็คือ Nordkette cable railway จากใจกลางเมืองอินสบรุคขึ้นไปสู่อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรีย Karwendel โดยที่ Hadid ได้ออกแบบสี่สถานีแรก จากสถานี Congress ไปจนถึง Hungerbergbahn โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเคลื่อนตัวของธารน้ำแข็งบนเทือกเขาแอล์ป เมื่อเรานั่ง cable car ไปถึงสถานี Hungerbergbahn เราจะเห็นถึงการผสมผสานกันอย่างลงตัวของความเป็นโมเดิร์นและธรรมชาติ และยังเห็นเมืองอินส์บรุคทั้งเมืองอีกด้วย

จากอินส์บรุคสู่อัมสเตอร์ดัมโดยรถไฟนั้นใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 9 ชั่วโมงและเปลี่ยนรถไฟถึงสามขบวนด้วยกัน แต่ระหว่างทาง เราก็ได้พบเจอกับเพื่อนนักเดินทางอีกหลายคนทำให้การนั่งรถไฟอันยาวนานนั้นผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว

Netherlands

Amsterdam ที่ทุกคนรู้จักนั้นคงจะหนีไม่พ้นเมืองแห่งมิวเซียมและเมืองแห่งการปั่นจักรยาน ไม่สงสัยเลยว่าทำไมที่นี่ผู้คนถึงเลือกการปั่นจักรยานเป็นการเดินทางหลัก เพราะที่นี่มีเลนจักรยานที่ดีมากๆ บางเลนนั้นกว้างกว่าฟุธบาธสำหรับคนเดินถนนซะอีก และที่นี่ยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเวนิซแห่งยุโรปเหนือ ด้วยพื้นที่ที่ห้อมล้อมไปด้วยคูเมืองมากมาย และการเดินเรือข้ามฟากของที่นี่เขาก็ไม่คิดค่าบริการใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของทริปนี้เราจึงเลือกที่จะไม่วางแผนใดๆล่วงหน้านอกจากเดินเล่นในมิวเซียมสักที่สองที่ และเดินชมเมือง นั่งรถรางไปเรื่อยๆ แต่อีกหนึ่งกิจกรรมที่เราได้บังเอิญได้มีส่วนร่วมก็คือการชมภาพยนตร์กลางแปลงใน Wester Park ที่คนที่นี่เขาว่ากันว่ามีจัดขึ้นอยู่เกือบทุกวันในช่วงฤดูร้อน

วันสุดท้ายก่อนกลับบ้านเราตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตเสมือนเป็นชาวยุโรปในฤดูร้อน เพราะโซนยุโรปเหนือนั้น ส่วนใหญ่ฝนจะตกตลอดทั้งปี เวลาหน้าร้อนแดดออกเขาก็จะมานั่ง picnic กันใน park ยาวจนกระทั่งเที่ยงคืน นอกจากจะได้ความเพลิดเพลิน ได้เพื่อนใหม่ ประหยัดเงินในกระเป๋า เรายังได้เดินเล่นชมเมืองในตอนกลางคืนอีกด้วย

ทิ้งท้ายข้อมูลเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับนักเดินทางที่อยากจะเลือกเดินทางเที่ยวยุโรปโดยรถไฟ

Interail และ EUrail นั้นเหมือนกัน แค่เรียกต่างกันตรงที่หากผู้โดยสารอาศัยอยู่ในโซนยุโรปจะใช้ Interrail นอกยุโรปใช้ EUrail ราคาต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น การเดินทางโดยรถไฟจะประหยัดและสะดวกกว่าเครื่องบินเพราะสนามบินมักจะอยู่นอกเมืองห่างไกลจากจุดเที่ยวที่น่าสนใจ แต่สำหรับสถานีรถไฟนั้นมีให้เราเลือกลงได้มากมายตามแต่ละสถานที่ที่เราต้องการจะไป

หากมีเวลาอยากให้เลือกใช้บริการรถไฟสาย local ของเมืองนั้น ๆ ที่ไม่ใช่รถไฟความเร็วสูง เพราะเราไม่จำเป็นต้องสำรองที่นั่ง เราสามารถวิ่งขึ้นรถไฟได้เลยโดยไม่ต้องจองถ้าเรามีบัตร Interrail หรือ EUrail ถ้าเราต้องเดินทางไกลที่ใช้เวลานานมาก ๆ อย่างเช่นเส้นทางจากปารีสไปโรม หากเป็นไปได้ให้ใช้บริการ night train จะได้ไม่เสียเวลาเที่ยวในตอนกลางวัน อาจจะเสียค่าจองตู้นอนเล็กน้อย แต่ประหยัดเวลาเที่ยวของเราได้มากมาย ตารางเดินรถไฟนั้นสามารถหาได้จากใน app ของ Interrail ข้อมูลมีอย่างละเอียดและมี link ต่อสำหรับบางรถไฟที่ไม่ได้อยู่ในเครืออีกด้วย

การเดินทางแบบแบ็คแพ็คนั้น นอกจากจะประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก เรายังได้ประสบการณ์อันเลอค่าจากการได้พบเจอเพื่อนนักเดินทางระหว่างทางอีกมากมาย เพื่อสร้างเรื่องราวใหม่ ๆ ไปด้วยกัน ถ้าหากเราเดินทางคนเดียว เราก็อาจจะค้นพบความหมายใหม่ ๆ ในชีวิตของเราเองอีกด้วย


เรื่องโดย: Naurarat Suksomstarn

Magazine made for you.