ล่าแสงเหนือ Iceland

รอบที่แล้วผมได้นำพาทุกท่าน ไปสู่ดินแดนทิเบตน้อย เลห์ ลาดักห์ รวมถึง ศรีนาคา ซันสการ์ มารอบนี้ขออนุญาตพาบินข้ามซีกโลกไปยังเกาะเล็กๆ ที่พอได้ยินชื่อแล้วล่ะก็รับรองว่า “หนาว” คงเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก Iceland, Land of Ice and Fire นั้นเอง!!

ต้องเกริ่นก่อนเลยว่า เอาจริงๆแล้ว ก็ไม่คิดว่าจะได้ไปเยือนประเทศนี้เร็วขนาดนี้ เนื่องจากในหัวคิดก่อนเลยว่า #กรูจะเอาตังค์ที่ไหนไป เพราะขึ้นชื่อว่ายุโรปแล้ว แหม่ๆ ค่าครองชีพมันคงจะแพงหูฉี่ ก่อนหน้าก็ได้แต่ดูรูปคนอื่นไปพลางๆ ลูบกระเป๋าตังค์ไปพลางๆ เอาวะครับ หาพลพรรคคนชอบถ่ายรูปไปร่วม ผ #จน ภัย กันดีกว่า

Iceland

Iceland

ประเด็นหลักเลยที่อยากไป Iceland ก็คือ Aurora Borealis (ออโรร่า) หรือ Northern Lights (แสงเหนือ) พระเอกของเราในทริปนี้นี่เองครับ อยากจะลองไปเห็นด้วยตา และ ลั่นชัตเตอร์ด้วยมือตัวเองซักครั้ง หลายคนคงสงสัยว่า แล้วทำไมต้องไป Iceland ที่อื่นไม่มีให้ดูหรือไง? ก็คงต้องบอกว่า จริงๆไอ้ปรากฏการณ์ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่แบบนี้เนี่ย จริงๆแล้วเกิดขึ้นอยู่หลายประเทศ แต่ Iceland เป็นประเทศที่เรียกว่ามีภูมิประเทศที่เหมาะสมกับการถ่ายรูปมากๆประเทศหนึ่ง ก็เลยเลือกที่จะไป Iceland แทนที่จะไปประเทศอื่นๆครับ

แสงเหนือที่ว่าเนี่ย จะสามารถเห็นได้ก็ต่อเมื่อ ฟ้ามืด และ ไม่มีเมฆ ดังนั้นมันก็จะส่งผลต่อการเลือกเดือนที่เราจะไปกัน จริงๆแล้วหากต้องการให้มีโอกาสเห็นแสงเหนือมากๆ ก็ควรจะไปในเดือนที่กลางคืนมากกว่ากลางวัน เช่น ธันวาคม มกราคม แต่เราไม่เลือก เพราะมันจะดูโหดเกินไปทั้งสภาพอากาศ และ โอกาสในการถ่ายภาพอื่นๆที่ไม่ใช่แสงเหนือ จริงๆ เดือน ตุลาคม ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ช่วงนั้น Ice Cave (ถ้ำน้ำแข็ง) ยังไม่สามารถเข้าไปชมได้ ไอเราก็โลภไปทีนึงอยากได้หมดเลย หวยก็มาออกที่เดือนมีนาคม เนื่องจากเป็นช่วงปลายหน้าหนาวของที่นั่น ระยะเวลากลางวันกับกลางคืนเท่ากันคือ ประมาณ 12 ชั่วโมง ก็น่าจะเพียงพอที่จะได้เห็นแสงเหนือ และ ได้ถ่ายรูปอื่นๆในเวลาปกติไปด้วย

03

สุดท้ายผมก็ไปหลอกคนมาร่วมทริปได้อีก 7 ชีวิต รวมผมเป็น 8 คน กิน นอน เดินทาง ด้วยรถ camper van ทั้งหมด เป็นเวลา 14 วัน บนเกาะน้ำแข็ง ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆในชีวิต เสียอย่างเดียว ทั้งหมดเป็นผู้ชายล้วน #ร้องไห้หนักมากกกกกกก และแล้ว ทริปล่าแสงเขียวของเราก็ได้เริ่มต้นขึ้น!

Iceland

map วิเศษที่สร้างสรรค์โดยเนเบิร์ด https://www.google.com/maps/d/viewer?usp=sharing&mid=zZWh7rcMjixk.kTfY835hxwrA

อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่า ทริปนี้เราเน้นกันที่แสงเหนือ ก็จะต้องมีการทำการบ้านมาพอสมควร คนอย่างผมก็ไม่พลาดที่จะโยนงานนี้ให้คนอื่นทำ ฮ่าๆๆ การวางรูทและข้อมูล ก็เลยเป็นหน้าทีของเพื่อนร่วมทริปของผมไปโดยปริยาย เอาจริงๆ เรื่องสถานที่ ที่เหมาะกับการถ่ายภาพแสงเหนือ ก็ไม่มีอะไรมาก เน้นทิวทัศน์อลังการ เลือกพื้นที่ภูเขา น้ำตก (ประเทศนี้ เป็นแหล่งรวมน้ำตกที่บ้าคลั่งมากๆ) แล้วก็แลนด์มาร์คจุดท่องเที่ยวนี่แหล่ะ แค่ขอให้ดวงดี ตรงนั้นฟ้าเปิดแล้วก็มีแสงเหนือ แค่นั้นก็พอ แต่จะไปมั่วๆ ด้นสดหน้างานก็กระไรอยู่ เดี๋ยวทริปจะพังเอา งานนี้ก็เลยต้องขอบคุณเนเบิร์ด และ ช่างหนุ่ม ผู้เสียสละเวลาในการรวบรวมข้อมูลเส้นทางและจุดถ่ายภาพมา ณ ที่นี้ด้วย ส่วนข้อมูลสถานที่เราสามารถหาได้จาก google เลยครับ รวมถึงบทความ และ กระทู้ต่างๆที่อยู่บนโลกออนไลน์ จากนั้นก็หาพิกัด (coordinates) มา plot ลงบน application ที่ชื่อว่า maps me ซึ่งเป็น offline maps ที่แม้ว่าเพื่อนๆจะไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต ก็ยังสามารถเปิดดูได้ แถมยังนำทางได้ด้วย สุดยอดมาก ที่สำคัญ ฟรี!!

05

06

07

แค่เพียงวันแรกที่เราจะลงที่ Reykjavik ก็มันส์แล้วครับ สภาพอากาศย่ำแย่ กัปตันเอาเครื่องลงไม่ได้ ถึงกับต้องวนอยู่หลายรอบ สุดท้ายต้องเอาไปลงที่ Akureyri เมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของ Iceland เพื่อเติมน้ำมัน แล้วค่อยบินกลับลงมาที่ Reykjavik ใหม่ Delay ไป 3 ชั่วโมง ตอนเครื่องจะลงนี่ถึงกับสวดมนต์เป็นภาษา Icelandic พายุหิมะโหดมากกก แผนในวันแรกของเราก็เป็นอันฉิบหายไป บริษัทรถที่จองเอาไว้ปิดทำการ 17.00 กว่าเราจะลง ก็ปาเข้าไป ทุ่มกว่าๆ สุดท้ายก็ต้องเรียก taxi ไปนอนที่โรงแรมใกล้ๆสนามบิน เพื่อรอตอนเช้าให้บริษัทรถเอารถมารับแทน

09

ตอนที่เริ่มต้นคิดว่าจะไป Iceland เราตัดสินใจที่จะใช้ camper van ของบริษัท Happy Camper เป็นพาหนะในการเดินทาง เพราะว่าการเดินทางตามล่าแสงเหนือนั้น ถ้าจะให้โอกาสเห็นเยอะที่สุด เราจะต้องเคลื่อนที่ไปหาที่ที่ฟ้าเปิด มีเมฆน้อยๆ ดังนั้นถ้าเรานอนโรงแรม นั่นหมายความว่าแผนการของเราจะถูก fix ด้วยตำแหน่งของโรงแรม โอกาสที่จะฟลุ๊คเจอแสงเหนือในโซนโรงแรมมันก็ยากเกิน สู้กินนอนบนรถ ขับไปตามที่ที่คิดว่าจะมีโอกาสได้เจอ น่าจะเป็นทางที่ดีกว่า หลายๆคนอาจจะงงว่า แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าตรงไหนมันจะถ่ายได้ ไม่ยากเลยครับ เพียงคุณเข้าไปที่เว็บไซต์ของ Icelandic Met Office (กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งไอซ์แลนด์) คุณก็จะพบกับแผนที่เมฆ พร้อมระดับความแรงของแสงเหนือบอกกำกับเอาไว้ ส่วนวิธีดูนั่น ลองศึกษาดูนะครับ ไม่ยาก ที่เห็นขาวๆ บน map คือ บริเวณที่ฟ้าเปิด ส่วนไอ้ที่เขียวๆนี่คือสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุด เพราะมันคือ เมฆ! การพยากรณ์ของเว็บไซต์มันก็ไม่ได้ 100% หรอกนะครับ แต่ก็ถือว่าแม่นยำมากๆ ทำให้เราวางแผนได้ว่า วันนี้จะไปถ่ายที่ไหน ตรงไหนจะมีโอกาสเห็นมากสุด

กลับมาที่เรื่องพาหนะซักนิด camper van ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า camp มันก็เหมือนกับเราตั้งแค้มป์ไปเรื่อยๆระหว่างการเดินทางนั่นแหล่ะครับ การกินนี่ก็ไม่ได้ลำบาก ในรถจะมีอุปกรณ์ทำครัวมาให้ส่วนนึง เราแค่ซื้อวัตถุดิบไปปรุงกันบนรถ ที่แนะนำเลยคือ ข้าวถุงยี่ห้อ Tilda หาซื้อได้ใน supermarket ที่นั่น ในกล่องจะมีข้าวถุงๆเจาะรูเอาไว้ เราแค่เอามันไปต้มในน้ำ จับเวลา 15 นาที ยกขึ้นมาแกะซอง กินได้เลย หลักการง่ายๆเหมือนการหุงข้าวเช็ดน้ำนั่นแหล่ะครับ กล่องใหญ่กล่องนึง 100 กว่าบาท มี 4 ถุง อิ่มมากก ส่วนที่เหลืออยากกินอะไรก็จัดการซื้อเลย ไก่สด หมูสับ แฮม ไส้กรอก ไข่ ผักนานาชนิด ส่วนที่แนะนำให้เอาไปจากที่เมืองไทยคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบซอง โจ๊กซอง และ ผงทำอาหาร แค่นี้รับรองฟิน

ด้วยความที่เป็นทริปถ่ายภาพ ผมขออนุญาตเล่าเรื่องราวที่ผมได้บันทึกมาผ่านภาพละกันนะครับ เพราะถ้าให้เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบทริปนี่ คาดว่าน่าจะทำเป็นหนังไตรภาคได้ ตรงไหนที่น่าเอามาขยายความผมจะเล่าเพิ่มเติมออกมาดีกว่า อาจจะไม่ได้เรียกลำดับตามจริงนะครับ! วันที่เราเริ่มเดินทางวันแรก เราก็เข้าห้างก่อนเลย Klinglarn ห้างใหญ่ประจำ Reykjavik ซื้อ simcard (แนะนำของ siminn) พร้อมกับ shopping เตรียมเสบียงให้เรียบร้อย งานนี้ถ้าสาวๆไปด้วยน่าจะถูกใจ ควักกระเป๋าหนุ่มๆจ่ายซื้อของสดรัวๆ อ่อ จะซื้อของสดให้ไปซื้อที่ Mart ที่ชื่อว่า Bonus นะครับ อยู่ในห้างนั้นเลย อย่าไปซื้อ super ที่อยู่ชั้นล่างล่ะ ราคาถูกกว่ากันเยอะ ช๊อปเสร็จแล้วก็ออกเดินทางกันเลย!

Vik

เราเริ่มต้นวนไปทางด้านใต้ของเกาะ จุดหมายแรกของเราคือ เมือง Vik ครับ เพราะดูจาก web forcast แล้ว คืนนั้นน่าจะมีโอกาสเห็นแสงเหนือได้ อีกอย่างจริงๆมีคนแนะนำให้เราวนขึ้นด้านตะวันตกเฉียงเหนือก่อน ไปรอแสงที่ Kirkjufell ภูเขาทรงแหลมอันโด่งดังในตำนาน แต่เราเลือกที่จะวนด้านใต้ก่อน เพราะเรามีอีก event นึงที่เป็นตัวกำหนดการเดินทางของเรา ก็คือการเข้า Ice Cave ในวันที่ 3 ของทริป ถ้าเราวนขึ้นเหนือ เกรงว่าจะกลับลงมาไม่ทันหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เพราะช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่มีพายุหิมะที่หนักที่สุดในรอบหลายปีด้วย

ระหว่างทางเราก็ผ่าน landmark อีกหลายจุด แต่จะแวะก็กะไรอยู่ เพราะเดี๋ยวจะไปไม่ทันได้ survey พื้นที่ก่อนถ่ายจริง การ survey พื้นที่นี่โคตรจะสำคัญ เพราะส่วนใหญ่เราจะรู้แค่ตำแหน่งของสถานที่ แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วควรจะต้องไปตั้งถ่ายมุมไหนถึงสวย สภาพพื้นที่เป็นยังไงเดินทางเข้าลำบากไหม และอื่นๆอีกมากมายที่เราไม่รู้ บางทีได้ยินจากคนที่ไปมา ก็ไม่เท่าเห็นด้วยตาตัวเอง ดังนั้นถ้าจะไปถ่ายรูปจริงจัง แทนที่จะได้ไปเที่ยวเหมือนคนอื่นๆ ก็จะต้องเจียดเวลาไป survey พื้นที่ล่วงหน้าด้วยซัก 1-2 ชั่วโมง

010

011

ที่นี่เราวนเวียนอยู่หลายครั้งตั้งแต่วันแรก กลางทริป ยันท้ายทริป ถือว่าเป็นเมืองทางผ่านที่มีทีเด็ดอยู่ที่ หาดทรายดำ และ แท่งหินแหลมสุดแปลกตา คืนแรกที่เรามาถึง Vik มันก็มืดเสียแล้ว ไม่ทันได้ Survey อะไรทั้งนั้น ที่มาสายไม่เท่าไหร่ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้มาสายนี่สิ มันช่างน่าตื่นเต้นกว่า เราเดินทางด้วยรถ 2 คัน คันของผมเป็นคันที่นำหน้า นำไปได้ซักพัก พายุหิมะเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ไอครั้นจะชลอตามกันมาก็ทำได้ยาก เนื่องจากทางก่อนเข้าเมือง เป็นทางลาดชันไม่สามารถชลอได้ ก็เลยได้แต่คิดว่า ขับตามๆกันมาคงไม่มีอะไร ระหว่างทางก็พยายามใช้ walkie talkie ถามหากันตลอด แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับน่าจะเพราะห่างกันเกินไป สุดท้ายคันผมก็มาถึงที่ปั๊มในเมืองเป็นที่เรียบร้อย จอดรออยู่นานสองนานก็เริ่มใจไม่ดี เอ๊ะทำไมอีกคันยังไม่มา.. เป็นอะไรรึเปล่า.. จึงตัดสินใจวนกลับลงไป

ช่วงจังหวะนั้น เหมือนหนังฮอลลีวู๊ดมากๆ ผมวอ.เรียกเป็นระยะๆ “อาชา เรียก พัพฟิ่น อาชา เรียก พัพฟิ่น” (เป็นโค้ดเนมที่เราตั้งขึ้น) จนสุดท้ายเราก็สามารถเข้าระยะทำการของวิทยุก็ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาว่า “พัพฟิ่น เรียก อาชา ตอนนี้ พัพฟิ่นติดหล่มอยู่ระหว่างทาง เนื่องจากล้อลื่นปัดไปมา รถไม่มีแรงที่จะขึ้นทางลาดได้ แต่ตอนนี้สามารถเข็นให้หลุดหล่มได้แล้ว กำลังตามไป” พวกผมนี่ร้องเฮลั่นรถเลย กลัวจะต้องช่วยลงไปเข็น ฮ่าๆๆ!

จากนั้นก็พากันขึ้นมาพักที่ปั๊ม ทำกับข้าวกินเอาแรง ตอนแรกเช็คทางเว็บก่อนหน้านี้ ระดับความแรงของแสงเหนืออยู่ที่ KP3 เรียกว่ามีลุ้นกันตั้งแต่คืนแรก แต่ที่ไหนได้พอเช็คใหม่ดันเหลือแค่ KP1 โอ้ว มาย ก๊อชชช!! แปรงฟันนอนสิครับ จะรออะไร แต่นอนก็ไม่ค่อยจะหลับ เนื่องจากพายุหนักมาก ลมแรงพัดรถโยกไปมา ช่างน่ากลัว จนเวลาล่วงเลยไปถึงราวๆตีสอง ผมก็ลองตื่นมาฉี่ เอ๊ย! ตื่นมาเช็คดู เงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า โอ้โห “ในคืนนี้มีดาวเป็นล้านดวงแต่ใจฉันมีเธอแค่เพียงดวงเดียว” ปลุกเพื่อนๆ “เฮ้ยๆ ฟ้าเปิดๆ ตรงนี้แสงกวนเยอะ ไปหาที่มืดๆกัน” คันผมพร้อมใจกันตื่น ส่วนอีกคันปลุกยังไงก็ไม่ตื่น ผมเลยสตาร์ทรถวนออกไปทางหมู่บ้านแบบมั่วๆ และมันก็เป็นครั้งแต่ที่ผมกดชัตเตอร์ติดแสงเขียวๆมาได้!!

012

013

014

ส่วนอีกวันที่ Vik นี่คือช่วงกลางทริป ที่มีข่าวมารอบทิศ ว่าได้เกิดการระเบิดของพายุสุริยะครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ 20 ปี ส่งผลกระทบให้ระดับความเข้มของแสงเหนือทะลุไปถึง KP9 เรียกว่าน่าจะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าๆตั้งแต่ช่วงพลบค่ำ (ปกติถ้าไม่แรงจริงนี่จะเห็นแต่ตอนที่ฟ้ามืดไปแล้ว) ใจผมนี่ร้อนรนเมื่อเห็นสภาพท้องฟ้าช่วงเย็น “ไหนวะ ฟ้าเปิด?!? เมฆเยอะจะตายห่า” แต่ความเทพของเว็บพยากรณ์ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เมื่อเวลาใกล้พลบค่ำ กลุ่มเมฆก็ค่อยๆกระจายตัวออก เผยให้เห็นสีฟ้าเวลาหิว รอไปอีกซักพัก ก็เริ่มเห็นหมอกสีขาวๆวิ่งไปมา ผมและเพื่อนอีกสองคน สบถลั่นหาด วิ่งล่กกันเหมือนเจ้าเข้า เวลานั้นไม่คิดจะมาปั้นมงปั้นมุมอะไรแล้ว วางขาตั้ง ล๊อคโฟกัส แล้ว กดชัตเตอร์รัวๆๆๆๆๆ เพื่อรีบรุดหน้าไปยังหมายที่วางเอาไว้อีกหลายที่

015

016

Iceland

018

Skógafoss และ Bruarfoss

ทั้ง 2 แห่ง คือนำ้ตกเซเลปชื่อดังของ Iceland แต่ตอนผมมาฟ้าปิดขาวจั๊วะ คนอื่นเค้ามาได้รุ้งกินน้ำพาดเอาๆ ของพวกผมนี่แสงปกติไม่เคยจะได้กับเค้า แต่มาพีคตรงมาเก็บแสงเหนือระดับ KP9 ได้ที่นี่ ดูแสงสิ! บานเป็นร่มเบยยยยย!!

019

020

021

022

ส่วน Bruarfoss นี่ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกลับ เพราะการเข้าถึงจะต้องจอดรถไว้ที่ถนนหลักแล้วเดินต่ออีกซักพัก ถ้าเป็นฤดูปกติก็คงไม่มีปัญหา แต่เราไปฤดูหนาววว หิมะสูงเท่าแข้ง โถวววว กว่าจะเข้าไปถึงเรียกว่า หืดจับ แต่พอถึงแล้วก็ต้องร้อง โว้ววววว!! เพราะมันงามจัดดดดด!!

023

024

Kirkjufell

ภูเขาทรงแหลมสุดหล่อของเกาะนำ้แข็ง เรียกว่าใครๆมาก็ต้องมีรูปภูเขาลูกนี้คู่กับแสงเหนือ แล้วมีเหรอที่เราจะไม่ได้ เรื่องราวของการเดินทางมายัง Kirkjufell นี่ก็น่าจดจำ เริ่มจากวันที่เราจะเดินทางมายังที่นี่ ได้มีประกาศเตือนภัยว่า ถ้าไม่จำเป็น กรุณาอย่าออกนอกอาคาร เพราะสภาพอากาศนี่เรียกได้ว่าจะแย่ขั้นสุดในรอบปี แล้วไงครับ.. พวกเราเชื่อที่ไหน อย่ามาหลอกกัน แดดอย่างแรงมีลุ้นแน่ๆ ก็เลยเข้าห้างเตรียมเสบียงแล้วออกตัวเอี๊ยด วนขึ้นด้านเหนือมุ่งหน้าไปยัง Kirkjufell พอใกล้ๆจะถึงเท่านั้นแหล่ะ แหม่! เหมือนเมฆมันนัดรวมตัวกันมาปาร์ตี้ ครึ้มมาเชียว แถมตอนขับรถข้ามสะพานนี่ ลมแรงพัดซะรถแทบปลิวตกสะพาน แต่เราก็รอดมาได้

025

026

027

สุดท้ายเรามาถึงจุดหมาย เตรียมอุปกรณ์ขึ้นไปเก็บแสงเย็นได้ซักระยะนึง ฟ้าก็เริ่มปิด หิมะเริ่มลง พวกผมเลยตัดสินใจว่า ลงไปพัก ทำกับข้าว นอนเอาแรงกันดีกว่า พร้อมภาวนาให้ฟ้ามันเปิดเหมือนอย่างที่เว็บมันแจ้งเถิด คืนนี้ต่ำๆมี KP4 แน่นอน แต่พายุหิมะก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเราคิดว่า เอาไงดีวะเนี่ย ไปหาที่จอดรถแถวๆเมืองแล้วพอฟ้าเปิดค่อยขับกลับมาดีรึเปล่า แต่แล้วสมองซีกน้อยๆของผมก็ฉุกคิดได้ว่า “แล้วถ้าหิมะมันเกิดหนักขึ้นมาจริงๆ ท่วมถนนจนเราไม่สามารถขับรถกลับเข้ามาได้ล่ะ จะทำยังไง?” ทุกคนเลยลงมติว่า งั้นก็นอนมันที่นี่แหล่ะ ติดหิมะในนี้ยังปีนขึ้นไปถ่ายภาพได้ แต่ถ้าติดหิมะข้างนอกเราก็เข้ามาถ่ายมันไม่ได้ สุดท้ายก็นอนรอกันตรงที่จอดรถ จนประมาณตี 3 ก็ตื่นขึ้นมาเช็คสภาพแล้วก็ได้ความว่า ฟ้าเริ่มเปิด แล้วก็มีแสงเต้นบนหัวแล้ว มหกรรม การสถบเพื่อแสงเหนือก็เริ่มกันอีกครั้ง !!!

028

029

030

Eystrahorn และ Vestrahorn

ภูเขาใน Iceland ไม่ได้มีแค่ Kirkjufell แต่ยังมี อีก 2 เขาสุดอลังที่ชื่อว่า Eystrahorn (อีสทราฮอร์น) และ Vestrahorn (เวสทราฮอร์น) และเป็น location ที่ผมเลิฟที่สุดในทริปนี้เลยก็ว่าได้ แถมยังเป็นสถานที่ ที่สร้างวีรบุรุษอีกด้วย ในคืนวันที่เราตั้งใจไปรอแสงเหนือที่แถบขวาของเกาะ รถคันที่ 1 และ 2 ได้ตัดสินใจแยกไปถ่ายสิ่งที่คิดว่าชอบ คันผมตัดสินใจไป Eystrahorn ส่วนอีกคันตั้งใจไป Vestrahorn ทางฝั่งผมขับรถวนสำรวจหามุมไปเรื่อยและก็ได้มุมที่ต้องการ ซักพักก็ได้รับการติดต่อจากอีกคันว่า “กลับมาช่วยที รถติดหล่ม” พวกผมมองหน้ากันแล้ว ส่ายหน้า “โถวววววว รอไปก่อนแล้วกัน ไหนๆก็ติดอยู่ตรง spot ถ่ายภาพแล้วนี่ เดี๋ยวรอเช้าแล้วจะไปช่วยนะ” นู่นนนนน เจอกันอีกที ประมาณ 9 โมง ฮ่าๆๆๆ พวกผมลงจากรถ วิ่งเข้าไปหารถอีกคันที่หมดสภาพ ล้อจมลงไปจนใต้ท้องติดกับพื้นทราย ดีที่เราได้ นายช่างใหญ่คุณหนุ่ม (Hnoom Patcha) ผู้ที่มีความรอบรู้ในเรื่องกลไกเครื่องยนต์เป็นพิเศษ สร้างสรรค์ไอเดียในการเอารถออกจากหล่ม แล้วทุกคนก็ช่วยกันแก้ไขได้ในที่สุด ช่างน่าอัศจรรย์ใจตรงข้ามกับหน้าตาของเขายิ่งนัก

031

032

033

034

035

036

037

038

039

Ice Cave

เป็นสิ่งที่คาดหวังไว้มากที่สุด แล้วก็ fail มากที่สุดเช่นกัน ไอ้ถ้ำน้ำแข็งนี่พวกผมเฝ้าฝันอยากจะมาเข้ามาก เสาะหาทุกวิถีทาง เพราะต้องจองล่วงหน้าเป็นเดือน เราเลือกใช้บริษัทที่เรียกว่าน่าจะดังเป็นอันดับต้นๆของ Iceland เพราะได้รับคำแนะนำมาจากคนรอบตัวว่า ต้องเจ้านี้แหล่ะ โปรสุดๆ เริ่มตั้งแต่การจองเลย จะเข้าถ้ำ 8 คน เน้นถ่ายภาพอยู่ในถ้ำนานๆ โถววว แต่โควต้าหน้าเว็บมันไม่พอ จนต้องอีเมลไปอ้อนวอนกราบกรานให้เค้าเปิด private group ให้เป็นพิเศษ สุดท้ายก็ได้จนได้ เสียเงินคนละประมาณ 6,000 กว่าบาท เพื่อเข้าไปถ่ายรูปกับน้ำแข็งเย็นๆในถ้ำหนาวๆ แต่มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เข้าไปนี่เอ๋อมาก ไม่รู้จะเริ่มถ่ายตรงไหนดี เรียกว่าพังในใจไปเบาๆ จนมาพังพินาศจริงๆ ก็เพราะว่าเรามัวแต่จะถ่ายควงไฟ steel wool เสียเวลากับการจุดฝอยขัดหม้อไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ควงไม่ได้ จนไกด์สมเพชหนัก ไปเอาที่ควงส่วนตัวมาควงให้ถ่าย พี่แกจุดทีเดียวติดด้วย! แล้วทำไมมึงไม่มาควงให้ตั้งแต่แรกกก!! สุดท้ายเสียเวลากับการถ่ายได้นี่ ได้รูปมา 1 รูป สิริรวมเวลา 1 ชั่วโมงได้ เศร้าใจจริงๆ

ประสบการณ์เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าไปจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากนัก ปล่อยวางมันซะบ้าง นี่ถ้ายอมปล่อยโซ่กับฝอยขัดหม้อให้มันกองอยู่กับพื้น ก็น่าจะได้รูปมามากกว่านี้

040

041

042

043

044

Black Sand Beach และ Jokulsarlon Glacier Lagoon

สถานที่ท๊อปฮิตของทุกคนที่มา Iceland ใครไม่ได้แวะนี่เรียกว่าพลาด รูปติดตาก็แน่นอน ก้อนน้ำแข็งดริ๊ฟท์ พร้อมฟองคลื่นแบบ long exposure เห็นแบบนี้ ถ่ายไม่ง่าย แต่ไอ้ที่ยากกว่าคือการหาก้อนนำ้แข็งเป็นของตัวเอง โดยที่ไม่โดนฝรั่งด่า เพราะไปสายนิดเดียวคนเต็มหาด นี่ขนาดนอนหน้าหาดนะ ตื่นมาปุ๊ป ฝรั่งหัวแดงและคนจีนมากมายต่างจับจองน้ำแข็งกันไปคนละก้อนสองก้อน นี่ถ้าเมืองไทยมีหาดทรายดำ ผมจะสั่งน้ำแข็งซักกั๊กสองกั๊กไปโยนหน้าหาดแล้วถ่ายคนเดียวให้หนำเลย!

045

046

047

048

049

050

ที่เจ๋งอีกอย่างคือเพียงคุณเดินข้ามฝั่งถนนไป คุณก็จะพบกับ ลากูนน้ำแข็งขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า เรียกได้ว่าสวยงามตรึกตาตรึงใจผู้ที่ได้มาพบเห็นยิ่งนัก แถมพวกเรายังได้แสงเหนือระดับ KP5 มาประดับคู่กับก้อนน้ำแข็งที่ Jokulsarlon อีกด้วย จะรออะไรอยู่ล่ะ! ปรบมือดังๆสิครับ!

051

052

053

054

Hvitsurker

หินไดโนเสาร์ เต่าล้านปี หรือ จะเรียกว่าอะไรก็ช่าง แต่จริงๆ แล้วถ้าเป็นฝรั่งเค้าจะเรียกว่า Troll Rock หรือ หินโทรล เรียกว่าเป็น location สุดหิน เพราะว่ามันเป็นปลายทริปแล้ว อีกคันตัดสินใจวนขึ้นรอบเกาะด้านตะวันออก แต่คันของผมคุยกันว่า วนขึ้นไปกลัวจะไม่ทัน เลยขอแยกวนขึ้นซ้ายไปจบที่ landmark ซักที่แล้วกัน ก็เลยเอาวะ ใกล้ๆที่น่าสนใจก็น่าจะเป็น ไอ้หินนี่แหล่ะ ข้อมูลพื้นฐานที่ควรรู้ในการไปถ่ายหินก่อนนี้ก็คือ ต้องหาระดับน้ำขึ้นลงให้ได้ก่อน เพราะถ้าจะลงไปถ่ายมันระยะประชิด ต้องหาช่วงเวลาที่น้ำลงมากที่สุด ไอ้เราก็โชคดีกันเกินไป๊ ดันน้ำลงคืนนั้นพอดี สุดท้ายก็ขับรถกันไป

ระหว่างทางนี่นั่งไป คิดไป “คิดถูกแล้วเหรอวะที่มา” ทางอย่างโหด บางจังหวะถ้าพลาดนิดเดียวนี่ ได้ลงไปกองที่ก้นผา สุดท้ายก็ไปถึงที่หมาย “ไหนวะหิน?!?” ฝนก็ตก ประตูรถก็พัง หนาวก็หนาว ลมก็แรง ระดับ passion ในการถ่ายภาพนี่ เรียกว่าลดลงไปสุดหลอด เดินลงไปกลางทาง ผมเริ่มไม่ไหว ขอกลับมาที่รถนั่งอยู่กับน้องเบียร์ ดีกว่า ส่วน เนเบิร์ด กับ ช่างหนุ่ม นี่ฟิตกันหลาย เดินจับมือกันไปฟีทเจอริ่งกันที่จุดชมวิว แล้วก็ได้ความว่า “ถ้าจะลงไปหน้าหาด ต้องปีนผาลงไป” ในใจผมตอนนั้นนี่ ช่างแม่มก่อนแล้วกัน หาที่จอดทำกับข้าวแล้วนอนเอาแรงก่อนเถอะ จากนั้นฟ้าก็ค่อยๆมืด #เมฆมาหนักมาก พร้อมฝนที่ไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด จนเวลาล่วงเลยมาถึงกลางดึก ฟ้าก็เริ่มเปิด เห็นแสงเหนือจางๆ ก็เลยตัดสินใจเอาวะ สุดท้ายละ เตรียมของ แต่งตัวเต็มยศ มีกี่ชั้นใส่ให้หมด เพราะอากาศมันไม่ไหวจริงๆ ลมพัดแรงหน้าแทบแหก แล้วก็พากันเดินแบบลื่นๆ ลงไปที่จุดชมวิว ซึ่งเห็น Troll Rock ก้อนเล็กกระจิ๋วหลิว ซักพักฝนก็ตกลงมาอีก โอ้วววว ฟ้าช่างกลั่นแกล้ง พวกเรายืนกอดกล้องกันได้ซักพัก ฝนเริ่มซา ผมกับเบิร์ดคุยกัน “เอาไงดี ทางมันลงได้ป่ะ ลองดูละกัน ไหนๆก็ไหนๆละ แถตัวไถๆมันลงไปเรื่อยๆ” แล้วก็เรียกว่าแถกันจริงๆ แถกันจนสีข้างแทบถลอก สุดท้ายก็ลงไปเหยียบที่พื้นจนได้ แล้วก็ได้ภาพอย่างที่เห็น คุ้มรึเปล่าไม่รู้ รู้แต่มันเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำอีกวัน

055

056

057

Blue Lagoon

อันนี้ไม่มีอะไรจะพูดมาก บอกได้คำเดียวว่า “ต้องมา” เสียค่าเข้าคนละ พันกว่าบาท จองออนไลน์ ได้ใบจองมาในมือถือแล้ว ยื่นให้เจ้าหน้าที่ดูได้เลย Blue Lagoon เป็นที่ที่เหมาะสำหรับการปิดฉากทริปมากๆ แช่น้ำร้อน พอกหน้า และ ดูสาวๆใส่บิกินี่ มันเริ่ดดดดดดดดมาก (ใครจะดูหนุ่มๆก็ได้ไม่ว่ากัน)

Roadside Story

บรรยากาศการเดินทางใน iceland ไม่ได้มีแค่ Hilight หรือ Landmark เท่านั้นที่สวยงาม วิวข้างทางนี่ก็เกินบรรยาย ไม่ว่าจะเป็น ทิวทัศน์ หรือแม้แต่ม้าที่นี่ ยังดูดีไปเสียหมด

058

059

060

061

062

063

064

065

066

067

อากาศที่นี่เรียกว่าขั้นสุดอีกประเทศหนึ่ง อังกฤษที่ว่ามี 4 ฤดูในวันเดียวนี่เรียกว่ากระจอกไปเลย เมื่อเทียบกับ Iceland ที่มี 4 ฤดูใน 1 ชั่วโมง แป๊ปๆฝนตก หิมะตก ลูกเห็บตก แดดออก ฟ้าใส ลมแรง มาครบ เรียกว่างงไปตามๆกัน ดังนั้นเครื่องแต่งกายโปรดเตรียมมาให้พร้อม ที่ผมเตรียมไปหลักๆ จะเป็น ชุดกันลมกันฝน เสื้อขนเป็ด เสื้อฟรีซ ลองจอห์น กางเกงกันละอองน้ำกันหนาว กางเกงยีนส์ ถุงเท้าหนาๆ รองเท้าบูทลุยหิมะ ปลอกคอกันลมกันหนาว หมวกฟรีซ และอื่นๆอีกมากมาย พยายามใส่เป็นเลเยอร์นะครับ เพื่อสะดวกต่อการเลือกใช้ ถ้าเริ่มร้อนก็ถอดบางตัวออก ถ้าหนาวก็ค่อยใส่เพิ่ม น่าจะเวิร์คกว่า

068

069

ในส่วนของอุปกรณ์บันทึกภาพเอาไปเยอะได้เพราะเราเอาของไว้บนรถ แต่บอกเลยใช้ไม่หมดหรอก ฮ่าๆๆ ผมเอากล้องเซ็นเซอร์ระดับ Fullframe ไป 2 ตัว พร้อม เลนส์ซูมครบช่วงอีก 5 ตัว ขาตั้ง 2 ขา ผ่านไปเรื่อยๆ คุณจะพกแค่ กล้อง 1 กับ เลนส์ 1 ถ้าเปลี่ยนใจได้จะเอาแค่ Mirrorless มา ฮ่าๆ บางทีอุปกรณ์เยอะๆมันก็บั่นทอนความอยากถ่ายภาพของเราได้เหมือนกัน จริงๆความตั้งใจแรก คือจะถ่ายภาพนิ่ง ด้วย timelapse video ด้วย แล้วไง.. สภาพอากาศแบบนั้น กดชัตเตอร์ทีถอนใจที ผมคนนึงละที่ไม่ค่อยสู้ มันสุดจะทนกับสภาพอากาศมาก ชุดที่ใส่ก็เทอะทะมากพอละ ยิ่งมาเยอะกับอุปกรณ์ด้วยล่ะลาก่อย ดังนั้นตัดสินใจให้ดีๆว่าเราจะเน้นอะไรเป็นพิเศษนะครับ อีกส่วนที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษนี่น่าจะเป็น Battery เพราะว่าอากาศหนาวทำให้ Battery หมดเร็ว การชาร์จแบตในรถ ก็ไม่ได้สบายนัก เพราะมันต้องพ่วงต่อกับ Inverter ในรถ ไปกัน 4 คน ชาร์จพร้อมกันทุกคน หม้อแปลงก็มีรวนบ้าง ดังนั้น จัดการกับทรัพยากรตรงนี้กันดีๆนะครับ ในทริปนี้อุปกรณ์ประกอบการถ่ายภาพที่เมพที่สุดคือ “รองเท้าบูทยางกันน้ำท่วม” มันคุ้มค่ามากๆที่พกไป เพราะว่ามันทำให้เราลุยน้ำได้ โดยเฉพาะ location เปียกๆอย่างชายหาดและน้ำตกต่างๆ ใส่สีแรงๆเอาให้ยาวถึงต้นขากันไปเลยนะครับ อย่างของผมเป็นสีส้มแปร๋นๆ เรียกว่า ฝรั่งมองกันเป็นตาเดียว นี่ถ้าไม่ติดว่าหน้าบาง ว่าจะใส่ไปจีบสาวดู

070

และแล้วก็มาถึงตอนจบของการเดินทาง ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปในความทรงจำจริงๆ มีทุกอารมณ์ สุข ทุกข์ เศร้า เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ ท้อใจ ฟินเฟร่อ! บทสรุปของทริปนี้ สิ่งที่ได้มาต้องเรียกว่าหาซื้อเอาไม่ได้ง่ายๆ เพราะมันคงเกิดซ้ำได้ไม่เหมือนเดิม หากคุณยังไม่รู้ว่าในชีวิตนี้คุณชอบอะไร อยากทำอะไร ลองดูครับ ลองออกเดินทางดู แล้วคุณอาจจะพบกับความฝันและปลายทางชีวิตเหมือนกับที่ผมเจอในทริปที่ผ่านๆมารวมถึงทริปที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ได้ ก่อนจะจบเรื่องราวนี้ ผมขอขอบคุณเพื่อนๆอีก 7 คนที่ร่วมเดินทางเปิดประสบการณ์บนเกาะน้ำแข็งและล่าแสงเหนือไปด้วยกันนะครับ

เนเบิร์ด Bird Natthawat ผู้รวบรวมข้อมูลและคอยนำทางพวกเราไปยังที่ต่างๆ

ช่างหนุ่ม Somsak Patcha พลขับมือ1 ผู้ที่มีสกิล survival เต็ม 10 ช่วยแก้ไขปัญหาได้แทบทุกอย่าง ยกเว้นคุยกับฝรั่ง

น้องเบียร์ Beer Pravit เชฟกระทะทองแดงประจำรถ ทำเองกินเอง ไม่เหลือให้พี่ๆกินเลย

ส่วนคันที่สองได้แก่

คุณต้น Tonnaja เซเลปถ่ายภาพประจำเมืองแกลง และ Co-Founder บริษัท ทัวร์ถ่ายภาพ wonderwander ของผมนั่นเอง

เฮียโจ Joeziz ผู้สร้างเสียงหัวเราะและเป็นพลขับของอีกคัน

พี่ติ Zanetti ช่างภาพสายเนี๊ยบเป๊ะ ใครอยากเห็นงานดีๆ ตามไปดูในเฟซแกได้

หมอพีท Sangchai ผู้มาเติมเต็มทริปให้ลงตัว

สุดท้ายผมคงต้องขอบคุณ ตัวผมเอง notjustnut ที่โชคดีได้มารู้จักเพื่อนๆทั้งหมด รวมถึงได้มีโอกาสนำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังผ่าน Culture Creatures ด้วยครับ แล้วเจอกันทริปหน้า !

รักการเดินทางและถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ ตอนนี้หันมาทำสิ่งที่รวมสองอย่างนี้เข้ากันได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ ทัวร์ถ่ายภาพ ที่ชื่อว่า Wonder Wander (wonder-wander.net)

3 Comments

  • Chubable

    ภาพสวยมากครับ

    แต่ผมสงสัยอยู่นิดหน่อยครับ คิดว่าข้อมูลน่าจะผิดครับ เว็บไซต์ของ Icelandic Met Office
    ในเว็บบอกว่า ตรงส่วนสีขาวเป็นส่วนที่ฟ้าเปิด แต่ในหน้า page นี้บอกว่าเป็นส่วนที่ฟ้าปิด เลยจะขอรบกวนสอบถามหน่อยครับ

    ถ้าผมเข้าใจผิดยังไงต้องขอโทษด้วยครับ

    • notjustnut

      ขอบคุณคุณ Chubeble ที่ช่วยแก้ไขมานะครับ สงสัยเบลอๆ พิมพ์สลับกันไปหน่อย ^^

  • tomei

    ดีไปอีก พี่เป็นคนเดียวที่เขียนรีวิวสนุก เข้าใจทุกอย่างและมีความ survival 100% สุดๆ กำลังศึกษาข้อมูลได้มาอ่านของพี่ กระจ่างมากมายยยย ขอบคุณค่าาาา

Comments are closed.

Magazine made for you.